IMF ชำแหละกฎเหล็ก Stablecoin เต็มไปด้วยหลุมดำ ไร้มาตรฐานโลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) ออกมาสับแหลกถึง "ความไม่แน่นอนในการกำกับดูแล Stablecoin" ย้ำชัด! แม้จะพยายามเร่งเครื่องออกกฎเกณฑ์ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยคำถามพื้นฐานที่ "ไม่ได้รับการแก้ไข" ตั้งแต่ “Stablecoin คืออะไรกันแน่? เงิน? สินทรัพย์?” ไปจนถึง “ใครจะบังคับใช้กฎ?” งานนี้ IMF ชี้ ถ้ายังไม่มีข้อสรุปทั่วโลก แนะระวัง "การย้ายถิ่นฐาน" ของบริษัทคริปโตฯ สู่ประเทศที่ไร้ระเบียบ อาจกลายเป็นแหล่งซุกซอกอาชญากรรมเศรษฐกิจ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) ยังคงปักธงเตือนถึง "ความไม่แน่นอน" ในการกำกับดูแล Stablecoin อย่างต่อเนื่อง ตามถ้อยแถลงของ นาย โบ ลี่ รองกรรมการผู้จัดการ IMF ในการประชุม Summer Davos 2568 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา
นายลี่ ชี้ว่าแม้ Stablecoin จะกำลังได้รับความนิยมในโลกการเงิน แต่ปัญหาหลักที่ยังคาราคาซังไม่จบไม่สิ้นคือ "การจำแนกประเภท" ว่า Stablecoin ควรได้รับการปฏิบัติในฐานะ "สกุลเงิน" หรือ "สินทรัพย์ทางการเงิน" และหากถือว่าเป็นสกุลเงิน จะจัดอยู่ในระดับใด เช่น M0 (เงินสดหมุนเวียน) หรือ M2 (เงินฝากและเงินที่หมุนเวียนได้ง่าย) ซึ่งนี่เป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ของปัญหาทั้งหมด
"นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น" นายลี่ กล่าวย้ำ "ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และยังต้องมีการสร้างฉันทามติระดับโลกที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น" เขายังเสริมว่าหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ยุโรป และหลายชาติในเอเชีย กำลังทดลองนโยบายด้าน Stablecoin กันอย่างขะมักเขม้น แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังอยู่ใน "ระยะเริ่มต้น" และเรียกร้องให้มีการจัดแนวทางร่วมกันในวงกว้างมากขึ้นในหมู่หน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี IMF กำลังทำงานร่วมกับองค์กรสำคัญๆ เช่น คณะกรรมการเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Board) และคณะกรรมการบาเซิล (Basel Committee) เพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ นาย Li ชี้ว่าหลายประเทศสมาชิกยังคงดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะประเทศที่ใช้ Stablecoin เพื่อขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน (financial inclusion)
นอกเหนือจากปัญหาการจำแนกประเภทแล้ว นายลี่ ยังแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับ "การบังคับใช้กฎหมาย" หากไม่มีมาตรฐานที่เป็นหนึ่งเดียวกัน กฎระเบียบของแต่ละประเทศอาจขัดแย้งกัน ทำให้การปฏิบัติตามกฎสำหรับผู้ประกอบการระดับโลกมีความซับซ้อน และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิด "ช่องโหว่ทางกฎหมาย" ที่ไม่มีใครควบคุมได้ IMF ยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าแนวทางการกำกับดูแลเหล่านี้จะบรรจบกันเมื่อใด แต่ก็รับทราบว่ามีการหารืออย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ธนาคารกลาง และสถาบันการเงินต่างๆ
อย่างไรก็ดีความสนใจทั่วโลกในสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) และโปรเจกต์ Stablecoin ภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ "ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ" จะเป็นตัวกำหนดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในบริบทของการชำระเงินข้ามพรมแดนและบริการทางการเงินภายในประเทศอย่างไร
นอกจากนี้ นาย ลี่ ย้ำว่าเทคโนโลยีจะส่งผลต่อโครงสร้างของระบบการเงินโลกในระยะยาว แต่ก็เตือนว่าอย่าคาดหวังการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การจำแนกประเภทของ Stablecoin ในท้ายที่สุดจะส่งผลต่อวิธีที่ธนาคารกลางบริหารสภาพคล่องและออกแบบนโยบายการเงิน หาก Stablecoin ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของปริมาณเงินหมุนเวียน ก็จะต้องมีเครื่องมือใหม่ๆ ในการติดตามและควบคุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
ขณะที่บริษัทเอกชนที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Stablecoin ต่างก็กำลังรอคอยกฎระเบียบที่ชัดเจนเช่นกัน หากไม่มีการจัดแนวทางที่สอดคล้องกัน บางบริษัทอาจย้ายฐานการดำเนินงานไปยังเขตอำนาจศาลที่มีการกำกับดูแลที่ "หละหลวมกว่า" (regulatory arbitrage) ในขณะที่บริษัทอื่นๆ อาจชะลอการรวมระบบเข้ากับระบบการเงินดั้งเดิม จนกว่าขอบเขตทางกฎหมายจะได้รับการกำหนดอย่างชัดเจน อาจกลายเป็นพื้นที่อาชญากรรมเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO