รักษาสิวให้ได้ผล ต้องเริ่มจากรู้จักสิวของตัวเองให้ชัดเจนก่อน
หลายคนพยายามรักษาสิวมาหลายทาง แต่ก็ยังไม่หายสักที บางครั้งปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ “ยารักษา” หรือ “ผลิตภัณฑ์” ที่ใช้ แต่อยู่ที่เรานี่แหละ ที่ยังไม่รู้จักสิวของตัวเองดีพอ ว่าสิวที่เป็นอยู่ จริง ๆ แล้วคือสิวแบบไหน? และควรจัดการยังไงถึงจะถูกจุด
บทความนี้ชวนทำความรู้จักสิวแต่ละประเภทมี “สาเหตุ” และ “แนวทางรักษา” ที่ต่างกัน ถ้าอยากรักษาสิวให้ได้ผลจริง ต้องเริ่มจากการเข้าใจผิวและสิวของตัวเองให้ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก
สิวที่พบบ่อย มีกี่ประเภท?
ก่อนจะหาวิธีรักษาสิว เราต้องรู้ก่อนว่า “สิว” ที่ขึ้นอยู่บนใบหน้าเราคือประเภทไหน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
1.สิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne)
สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยไม่มีการอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
หัวขาว (Whiteheads): รูขุมขนปิด มีตุ่มนูนเล็ก ๆ สีขาว
หัวดำ (Blackheads):รูขุมขนเปิด มีจุดสีดำที่ผิวหน้า
สาเหตุหลัก:ไขมันส่วนเกินผสมกับเซลล์ผิวที่หลุดลอกไม่หมด และการทำความสะอาดผิวไม่เพียงพอ
2. สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
เมื่อสิวอุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบ มีตุ่มแดง ปูดบวม เจ็บเล็กน้อย บางกรณีมีหนองหรือสิวหัวช้าง
สาเหตุหลัก: การติดเชื้อแบคทีเรีย (P. acnes) ร่วมกับพฤติกรรมของเราเอง เช่นชอบไปบีบ แกะ เกาบริเวณที่เป็นสิว
3. สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne)
สิวที่มักขึ้นช่วงก่อนประจำเดือน บริเวณคาง กราม หรือแก้มล่าง พบได้บ่อยในวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
สาเหตุหลัก: ฮอร์โมนแปรปรวน เช่น ช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือความเครียดสะสม
4. สิวแพ้ (Acne Mechanica / Acne Cosmetic)
สิวที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม หรือสิ่งที่มาระคายเคืองผิว
เช่น หน้ากากอนามัย แปรงแต่งหน้า ผ้าปูที่นอนไม่สะอาด เป็นต้น
สาเหตุหลัก:การแพ้เครื่องสำอาง สกินแคร์ หรือแรงเสียดสีจากสิ่งต่าง ๆ ที่สัมผัสผิวหน้า
วิธีรักษาสิวแบบผิด ๆ มีอะไรบ้าง
หลายคนอยากให้สิวหายเร็ว จึงมักใช้วิธีผิด ๆ ที่อาจทำให้สิวแย่ลง หรือเกิดผลข้างเคียงตามมาโดยไม่รู้ตัว
บีบ แกะ หรือกดสิวเอง
แม้จะอดใจไม่ไหว แต่การบีบสิวด้วยมือที่ไม่สะอาด หรือใช้แรงมากเกินไป อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียลุกลามลึกลงในผิว ทำให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้น และเสี่ยงทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวที่รักษายากในอนาคต
ใช้ผลิตภัณฑ์แรงเกินไป
บางครั้งเราอาจคิดว่ายิ่งใช้ยาแรงหรือสกินแคร์ที่ทำให้ผิวแห้งลอกมากเท่าไร สิวก็จะยิ่งหายเร็วขึ้น แต่ความจริงคือ ผิวที่ถูกทำร้ายหรือระคายเคืองมากเกินไป จะทำให้ระบบปกป้องผิวอ่อนแอลง และกระตุ้นให้สิวเห่อขึ้นหนักกว่าเดิม
เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบ่อยเกินไป
การรักษาสิวต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ สิวไม่ได้หายข้ามคืน การเปลี่ยนครีมหรือยารักษาสิวบ่อย ๆ จะทำให้ผิวไม่สามารถปรับตัวได้ เกิดการระคายเคืองสะสม และทำให้สภาพผิวแย่ลง
เชื่อคำบอกต่อโดยไม่ปรึกษาแพทย์
สูตรรักษาสิวหรือยาที่ได้ยินจากเพื่อนหรือในโซเชียล อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวของเรา การใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์โดยไม่ผ่านคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้สิวลุกลามหรือเกิดผลข้างเคียง เช่น แพ้ยา ผิวบาง หรือการติดเชื้อได้
ล้างหน้าบ่อยหรือแรงเกินไป
บางคนคิดว่ายิ่งล้างหน้าบ่อย ยิ่งสะอาด แต่จริง ๆ แล้วอาจทำให้ผิวแห้ง ลอก และกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
รักษาสิวให้ได้ผล ต้องรักษาให้ตรงกับ “ประเภทสิว”
เมื่อเรารู้แล้วว่าสิวที่เราเป็นอยู่ เป็นสิวแบบไหน หลังจากนี้ การเลือกวิธีรักษาสิว ก็จะทำได้ง่ายขึ้น แถมได้ผลลัธฑ์ที่ดี สิวหายไว รวมถึงไม่เสี่ยงทำให้ผิวหนังเกิดอาการแทรกซ้อน
รักษาสิวอุดตัน
- ใช้ยาทาผลัดเซลล์ผิว เช่น BHA, AHA หรือ Retinoids
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันสูง หรือก่อให้เกิดการอุดตัน
- อาจเสริมด้วยการทำทรีตเมนต์กดสิว โดยผู้เชี่ยวชาญ
รักษาสิวอักเสบ
- ใช้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น Benzoyl Peroxide
- กรณีเป็นสิวรุนแรง อาจต้องใช้ยากินรักษาสิวร่วมกับเลเซอร์ลดการอักเสบของสิว เช่น CO2 Laser, Vbeam, IPL, Blue Light เป็นต้น
- ห้ามบีบหรือกดสิวเอง เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลาม
รักษาสิวฮอร์โมน
- ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาใช้ ยาปรับสมดุลฮอร์โมน หรือยาคุม
- ดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียด
- หลีกเลี่ยงอาหารหวานหรือของมันที่กระตุ้นฮอร์โมนและการอักเสบ
รักษาสิวจากการแพ้
- หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าแพ้ทันที
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์
- ให้เวลาผิวฟื้นฟู และหลีกเลี่ยงการขัดหรือใช้สารผลัดผิวช่วงที่ผิวอ่อนแอ
รักษาสิวกับหมอผิวหนัง ใช้วิธีอะไรบ้าง?
เมื่อรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วยังไม่เห็นผล หรือสิวเริ่มลุกลาม มีรอยแผลเป็น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนรักษาที่เหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้สิวหายเร็วและปลอดภัย แต่ยังลดโอกาสเกิดรอยแผลและปัญหาผิวในระยะยาวด้วย ซึ่งแพทย์มีเครื่องมือและวิธีการรักษาที่หลากหลาย ดังนี้
ตรวจเชื้อสิวก่อนรักษาสิว
ในกรณีสิวอักเสบเรื้อรังหรือสิวที่รักษายาก แพทย์อาจทำการตรวจเชื้อแบคทีเรียจากหัวสิว เพื่อตรวจสอบชนิดเชื้อและการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ ซึ่งช่วยให้การรักษาแม่นยำและลดโอกาสดื้อยา
ยารักษาสิวเฉพาะทาง
แพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับประเภทสิว เช่น ยาทาฆ่าเชื้อ ยาทาผลัดเซลล์ ยากินกลุ่มยาปฏิชีวนะ หรือยาคุมสำหรับสิวฮอร์โมน เพื่อจัดการสิวอย่างตรงจุดและปลอดภัย
เลเซอร์รักษาสิว
นวัตกรรมเลเซอร์ เช่น CO2 Laser, Vbeam, IPL หรือ Blue Light ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และกระตุ้นให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยลดอาการบวมแดงและลดโอกาสเกิดรอยสิว
การกดสิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
แพทย์จะทำการกดสิวอย่างถูกวิธี ด้วยความสะอาดและปลอดเชื้อ เพื่อช่วยนำหัวสิวออกอย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวในระยะยาว
การฉีดสิว
ใช้ในกรณีสิวอักเสบใหญ่หรือตุ่มหนอง โดยแพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว ลดอาการบวม เจ็บปวด และช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
คำแนะนำด้านการดูแลผิวและการปรับฮอร์โมน
แพทย์จะช่วยประเมินสภาพผิวและฮอร์โมน พร้อมแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และถ้าจำเป็นจะให้คำปรึกษาเรื่องการปรับฮอร์โมน เช่น การใช้ยาคุมกำเนิดสำหรับสิวฮอร์โมน เพื่อควบคุมสิวในระยะยาวอย่างปลอดภัย
ดูแลผิวยังไง ให้สิวไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
การรักษาสิวไม่ใช่แค่เรื่องของ “การกำจัด” แต่คือการปรับวิถีชีวิต เพื่อไม่ให้สิวกลับมาซ้ำอีก
ลองเริ่มจากเคล็ดลับง่าย ๆ เหล่านี้
- ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
- งดใช้เครื่องสำอางที่อุดตันง่าย หรือไม่ล้างเครื่องสำอางให้สะอาด
- หมั่นทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม เป็นต้น
- อย่าแกะหรือบีบสิว เพราะอาจเกิดรอยแผลหรือเชื้อกระจาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ
- ลดของมัน ของหวาน ที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบ
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง?
หากลองรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น หรือสิวมีลักษณะอักเสบลุกลาม เป็นซ้ำ ๆ จนทิ้งรอยแผลไว้ทุกครั้ง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรง
เพราะคลินิกรักษาสิว มีเครื่องมือและยาเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์ฆ่าเชื้อ การฉีดสิว หรือการให้คำแนะนำด้านฮอร์โมนอย่างปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและปลอดภัย
สรุป
การรักษาสิวไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย แต่มันควรเริ่มจากความเข้าใจ เมื่อเราแยกแยะได้ว่าสิวที่ตัวเองเป็นคือแบบไหน ก็จะสามารถเลือกวิธีรักษาที่ “ใช่” และ “ตรงจุด” ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องลองผิดลองถูก ไม่ต้องใช้ของแพงเสมอไป แค่เริ่มจากการ รู้จักสิวของตัวเองให้ชัดเจนก่อน เท่านี้ก็พาเราเข้าใกล้ “ผิวใสในแบบที่เป็นไปได้จริง” มากขึ้นแล้ว