ความเครียดดันความสำเร็จ? กระตุ้นสมองเฉียบคม คิดไว อาชีพก้าวหน้า

ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานรุ่นไหนๆ ในออฟฟิศ เชื่อว่าทุกคนต่างก็เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือท้อแท้กับความเครียดจากการทำงานที่ถาโถมเข้ามา บางวันแค่คิดจะลุกจากเตียงไปทำงานในตอนเช้า ก็ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ความเครียดทุกประเภทจะเป็นสิ่งเรื่องเลวร้ายต่อใจเสมอไป!

งานวิจัยใหม่ๆ จำนวนไม่น้อยในช่วงหลายปีมานี้เปิดเผยว่า ความเครียดในปริมาณที่พอเหมาะและถูกประเภท หรือที่เรียกว่า "ความเครียดเชิงบวก" (Positive Stress หรือ Eustress) แท้จริงแล้วสามารถช่วยให้คุณมีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

เปิดเหตุผล ทำไมความเครียด-แรงกดดันที่เหมาะสม "ดี" ต่อการทำงาน?

ในโลกการทำงานที่หลีกเลี่ยงความกดดันไม่ได้ การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากความเครียดเชิงบวก จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จและความผาสุกในชีวิตการงาน คนที่มองความเครียดว่าเป็นความท้าทายที่ต้องเผชิญหน้า มักจะมีผลิตภาพสูงขึ้น มีสมาธิดีขึ้น และรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่า ทำไมความเครียดจึงอาจเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีสำหรับอาชีพของคุณ

ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ความเครียดที่พอดีๆ จะเป็นแรงผลักดันชั้นยอด (A Powerful Motivator) เช่น เมื่อเผชิญหน้ากับเดดไลน์ส่งงานที่กระชั้นชิด หรือการคิดโปรเจกต์ท้าทาย ความกดดันเล็กน้อยจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีน ทำให้คุณตื่นตัว มีสมาธิ และพร้อมที่จะลงมือทำอย่างรวดเร็ว

ดร.เวนดี้ ซูซูกิ (Dr.Wendy Suzuki) นักประสาทวิทยาจาก New York University บอกว่า นี่คือการ "ปลุกไฟตัวคุณ" ซึ่งจะทำให้คุณกระตือรือร้นและทุ่มเทอย่างเต็มที่ ความเครียดเชิงบวกช่วยลับคมประสาทสัมผัสและมอบพลังงานเร่งด่วนที่จำเป็นในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง

นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Improves Work Efficiency) ลองสังเกตดูว่า ในกลุ่มผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงมักใช้ความเครียดในเชิงบวก เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและกิจกรรม ด้วยพลังงานที่พุ่งพล่านจากความเครียดช่วงสั้นๆ นี้ สามารถเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการทำงานได้

มันช่วยให้คุณตื่นตัวและเร่งให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สมองจะตื่นตัวเต็มที่ คิดได้เร็วขึ้นและชัดเจนขึ้น บางครั้ง การหลั่งอะดรีนาลีนอย่างเข้มข้นนี้ยังสามารถช่วยให้คุณทำ "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้" ให้สำเร็จได้ เช่น การทำงานข้ามวันข้ามคืน หรือทำให้โปรเจกต์ที่ซับซ้อนเสร็จภายในวันเดียว

สิ่งแวดล้อมที่มีความเครียดเล็กๆ ดีต่อจิตใจ-ระบบภูมิคุ้มกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ความเครียดที่เหมาะสมในสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ก็สามารถผลักดันสู่ความสำเร็จได้ (Breeds Success) ยกตัวอย่างเช่น ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการแข่งขันสูง ความกังวลเล็กน้อยไม่ใช่ข้อเสีย แต่เป็นสิ่งที่ดีและจำเป็น

คนที่ประสบความสำเร็จสูงมักมีความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียหรือการที่เวลาไม่พอสำหรับงานทั้งหมด ซึ่งความเครียดที่ "กระตุ้นตัวเอง" ในรูปแบบนี้ จะช่วยเติมเต็มชีวิตและขับเคลื่อนให้พวกเขาไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาสามารถเปลี่ยนความเครียดให้เป็นพลังงานเชิงบวก เพื่อพัฒนาทางออกที่สร้างสรรค์หรือบรรลุเป้าหมายในอาชีพ *

..ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ความเครียดระดับต่ำยังดีต่อสุขภาพกายและจิตใจด้วย (Beneficial for Health and Well-being) มีการศึกษาทางการแพทย์หลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ระบบภูมิคุ้มกันของเราอาจได้รับประโยชน์จากความเครียดช่วงสั้นๆ

เนื่องจากในช่วงที่เราเครียดร่างกายจะหลั่งสารเคมีบางอย่างที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยังทำให้เซลล์สมองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความเครียดแบบเฉียบพลัน (Acute stress) ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองและหน่วยความจำ ด้วยการสร้างเซลล์สมองขึ้นมาใหม่!

ความเครียดระดับต่ำ ช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา-คิดเชิงนวัตกรรม

ในบางครั้ง ความเครียดที่พอดีก็ช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและความยืดหยุ่นได้ (Enhances Skills and Resilience) เมื่อเราเผชิญสถานการณ์ตึงเครียด สมองจะทำงานหนักขึ้นเพื่อค้นหาทางออก และวิธีการที่สร้างสรรค์เพื่อเอาชนะอุปสรรค

สภาวะการตื่นตัวที่สูงขึ้นนี้ช่วยให้คุณคิดนอกกรอบและนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงนวัตกรรม

อีกทั้งยังส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคล (Promotes Personal Growth) เพราะมันจะผลักดันเราออกจากโซนปลอดภัย และบังคับให้เราเผชิญหน้ากับความท้าทายโดยตรง หากเราได้ก้าวผ่านประสบการณ์เหล่านี้ ก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน และความถนัดเฉพาะทางของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาตนเองและการค้นพบตัวเอง

4 เคล็ดลับ ปรับใช้ความเครียดเชิงบวก ประโยชน์ดีๆ ต่อชีวิตการงาน

การเปลี่ยนความเครียด ตึง หงุดหงิด ให้เป็นพลังเชิงบวกนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนและทัศนคติที่ถูกต้อง ดร. ซูซูกิ และปีเตอร์ วิตาเลียโน (Peter Vitaliano) ในฐานะศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน แนะนำเคล็ดลับให้แก่วัยทำงาน ดังนี้

1. เข้าใจความแตกต่าง ความเครียดที่ดี VS ความเครียดเป็นพิษ

สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะให้ออกว่าสถานการณ์ใดคือ ความเครียดเชิงบวก และสถานการณ์ใดคือความเครียดที่เป็นพิษ หากเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ เช่น มีหัวหน้าที่แย่ การจราจรติดขัด หรือการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ ดร.วิตาเลียโน แนะนำว่า ในกรณีเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือการก้าวต่อไปและออกจากสภาพแวดล้อมนั้น

2. ทบทวนความคิดของตนเอง ฝึกเท่าทันความคิด

ฝึกฝน Metacognition หรือ "การทบทวนเกี่ยวกับความคิดของตัวเอง" ซึ่งช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดเชิงลบ ที่อาจทำให้ความเครียดในที่ทำงานของคุณยังค้างติดอยู่ ลองท้าทายความคิดเชิงลบด้วยตัวอย่างสถานการณ์ยากลำบากในอดีตที่คุณเคยเอาชนะมาได้ หรือเตือนตัวเองถึงจุดแข็งของคุณ เช่น หากคุณกังวลเกี่ยวกับการนำเสนอในที่ประชุม ให้เตือนตัวเองถึงครั้งที่เคยกังวลคล้ายๆ แบบนี้ และทำได้ดี

3. ปรับการทำงานให้สอดคล้องกับคุณค่าส่วนตัว

การที่ต้องเครียดกับงานอยู่ตลอดเวลาอาจทำให้คุณหมดพลัง การนำสิ่งที่คุณชอบเข้าไปในงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การทำงานกับทีมที่แตกต่างออกไป หรือการสำรวจโอกาสในการเป็นอาสาสมัคร สามารถช่วยลดความรู้สึกหนักอึ้งจากงานได้

อีกอย่างหนึ่งก็คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและน่าตื่นเต้น และการพูดคุยกับหัวหน้าอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับวิธีบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น สามารถช่วยสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อความเครียดที่ยืดหยุ่นได้ หรืออาจคุยกับเพื่อนร่วมงานที่คุณไว้ใจและให้คำแนะนำที่ซื่อสัตย์ได้

4. จัดการกับความเครียดเรื้อรัง

แม้ความเครียดเชิงบวกจะดี แต่ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) หรือความเครียดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่มีการผ่อนคลาย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดี เช่น ทานอาหารดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกาย และนอนหลับให้เพียงพอ ทำกิจกรรมที่คุณสนุกหรือมีความสุข ฝึกเทคนิคหายใจลดความเครียด ฯลฯ

อีกทั้งควรประเมินสาเหตุความเครียดเป็นประจำ หากเป็นปัญหาในที่ทำงาน ให้พูดคุยกับผู้จัดการหรือฝ่ายบุคคล เพื่อลดภาระความเครียด หรือขอความช่วยเหลือจากผู้ให้คำปรึกษาหากเพิ่มเติม พยายามรักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้ความเครียดเข้าครอบงำคุณ

จำไว้ว่า..ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา เมื่อเกิดขึ้นในระดับเหมาะสมถือว่าดีต่อสุขภาพ เป็นเหมือนผู้ช่วยที่คอยกระตุ้นให้เราทำงานได้เต็มที่ในสถานการณ์ที่ท้าทายหรือยากลำบาก ทั้งยังช่วยกระตุ้นสมอง เติมพลังทางความคิด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ดังนั้น การมีทัศนคติเชิงบวกต่อความเครียด จึงสร้างความแตกต่างในการทำงานอย่างมหาศาล

อ้างอิง: RobertWalters, CNBC, All Health Matters