‘สุกี้ตี๋น้อย’ เผยความในใจ แม้ถูกมองเป็นรายเล็กท้าชนยักษ์ใหญ่ แต่ยืนยันว่าไม่ได้มาแข่งกับใครและไม่ได้มีดีแค่ชาบู! แต่จะเปิดแบรนด์ใหม่ปลายปี 68
ถึงวันนี้สุกี้ตี๋น้อยทำธุรกิจมากว่า 8 ปีแล้ว จากจุดเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี จนปัจจุบันมีประสบการณ์ในวงการร้านอาหารแล้วมากกว่า 8 ปี และได้นำพาธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยแนวคิด ‘เข้าใจลูกค้า’ และ ‘กล้าแตกต่าง’ จนกลายเป็นแบรนด์ร้านชาบูที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในยุคนี้
THE STANDARD WEALTH มีโอกาสได้ร่วมวงสัมภาษณ์ ‘นัทธมน พิศาลกิจวนิช’ ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ในงานฉลองผู้ติดตามครบ 1 ล้านคน ที่จัดขึ้นที่ร้านสาขาบางเขน ซึ่งเป็นสาขาแรกของสุกี้ตี๋น้อย
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ฉายภาพถึงเส้นทางของสุกี้ตี๋น้อยเติบโตจากร้านเล็กๆ ที่มีแค่น้ำซุปสูตรเดียว จนปัจจุบันมีน้ำจิ้มถึง 3 สูตร ถึงแม้ราคาบุฟเฟ่ต์จะขยับขึ้นจากช่วงที่เปิดร้านแรกๆ จาก 199 บาท ปรับมาเป็น 219 บาท แต่ไม่ได้แลกมาด้วยการลดคุณภาพอาหาร เพราะแบรนด์ใช้กลยุทธ์หาวอลุ่มและเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อลดต้นทุนแทน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สุกี้-ชาบู 2.3 หมื่นล้าน ‘สมรภูมิเลือด’ ใครแกร่งคนนั้นรอด? เจาะลึก MK vs. สุกี้ตี๋น้อย-ลัคกี้ สุกี้
- ครึ่งปีแรก ‘สุกี้ตี๋น้อย’ โกยกำไรไปแล้ว 610 ล้านบาท ส่วน JMART รับส่วนแบ่ง 183 ล้านบาท
- ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ประกาศทุ่มงบกว่า 110 ล้านบาท แจกโบนัส 2.5 เท่าของเงินเดือน โบนัสไตรมาส
“ยอมรับว่าเราโตเร็ว ด้วยกลยุทธ์คิดต่าง แม้จะถูกมองว่าเป็นแบรนด์เล็กที่ท้าชนยักษ์ใหญ่ แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจเพราะอยากแข่งกับใคร แต่เพราะเราเห็นช่องว่างในตลาดและอยากทำสิ่งที่แตกต่างเท่านั้น และเมื่อผู้บริโภคให้การตอบรับดี สุกี้ตี๋น้อยก็พร้อมโตไปพร้อมกับลูกค้า” นัทธมน ย้ำ
ส่วนสงครามโปรโมชั่น ที่หลายคนมองว่าเป็นการเฉือนเนื้อตัวเอง ที่ผ่านมานัทธมนย้ำว่า พยายามทำให้ธุรกิจยั่งยืนและเรามีตัวเลขกำไรอยู่แล้ว แม้จะมีโปรโมชั่นดึงลูกค้าในช่วง 11.00 – 17.00 น. และ 12.00 – 05.00 น. แต่ข้อมูลพบว่า ช่วงเวลาปกติกลับมีลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม โดยลูกค้า 1 คน มากินเฉลี่ย 3 – 5 ครั้งต่อเดือน สะท้อนความภักดีต่อแบรนด์และการบริหารที่ยั่งยืน
และล่าสุดแคมเปญที่เปิดให้ลูกค้านำน้ำจิ้มแบรนด์อื่นเข้ามาทานในร้านได้ ถือเป็นการเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภค
ปัจจุบัน สุกี้ตี๋น้อย มีทั้งหมด 86 สาขา และสุกี้ตี๋น้อย บาร์บีคิว มี 4 สาขา โดยในครึ่งปีแรกของปี 2025 เปิดไปแล้ว 11 สาขา และในครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 10 สาขา ทั้งสุกี้ตี๋น้อยชาบู และสุกี้ตี๋น้อย บาร์บีคิว
นัทธมน กล่าวต่อว่า ระหว่างปี 2025 – 2026 จะเป็นปีที่สุกี้ตี๋น้อยเปิดร้านอย่างรวดเร็วและมากที่สุด โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด เช่น สุรินทร์ เชียงราย อุบลราชธานี
จริงๆ แล้วตลาดต่างจังหวัดกำลังซื้อค่อนข้างดี และคู่แข่งยังไม่มาก จึงได้รับการตอบรับดี เห็นได้จากยอดขายในบางจังหวัด เช่น ชลบุรี เทียบชั้นกรุงเทพฯ ได้เลย และอาจจะเป็นเพราะร้านมีจุดแข็งที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมงด้วย ถึงแม้ทราฟฟิกจะกระจุกอยู่ช่วงกลางวันเป็นหลัก แต่ช่วงกลางคืนก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวใหม่ๆ คือปลายปี 2025 เตรียมเปิดตัวแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ซึ่งบอกใบ้ได้แค่เป็นร้านอาหารประเภทพรีเมียมแมส เพราะมองว่าเป็นตลาดที่ยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ชัดเจน และเชื่อว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น พร้อมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์ว่าตี๋น้อยไม่ได้ทำได้แค่แมสเท่านั้น แต่ยังมีของดีอีกเยอะให้โชว์
ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้เปิดตัวบัตรสมาชิกใหม่ จากที่ได้เห็นปัญหาว่าในจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ 7 แสนคน เข้าถึงระบบได้ยาก จึงต้องการทำให้ใช้งานง่ายขึ้น จึงเตรียมเปิดตัว บัตรสมาชิก 4 เทียร์ ปลายปีนี้ ได้แก่
1. Red Card – สมาชิกขั้นต้น สมัครฟรี สะสมจำนวนการทาน
2. Silver Card – ทาน 60 ครั้ง/ปี รับสิทธิ์ทานฟรี เดือนเกิด พร้อมผู้ติดตาม และจองโต๊ะล่วงหน้าได้
3. Gold Card – ทาน 90 ครั้ง/ปี เพิ่มสิทธิ์ผู้ติดตาม 2-3 คน เข้าบริการ ‘TN เลาจน์’ ได้ไม่จำกัด
4. Platinum Card – มีสิทธิพิเศษขั้นสูงกว่าทุกระดับ โดยจะประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมภายหลัง
นอกจากนี้ ยังจับมือกับ PTG เจ้าของปั๊มน้ำมัน PT และร้านกาแฟพันธุ์ไทย เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ร่วมกันแก่ผู้ถือบัตรสมาชิกในอนาคต
นัทธมน ทิ้งท้ายว่า “ปีหน้าสุกี้ตี๋น้อยจะไม่วิ่งแล้ว แต่เราจะเหาะเท่านั้น”