ทรัมป์ส่งจดหมายรอบ 2 ให้ 8 ประเทศแล้ว หนักสุดคือบราซิลเจอ 50%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อบราซิลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยประกาศเก็บภาษีศุลกากร 50% กับสินค้านำเข้าจากบราซิล และสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดการสอบสวนพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของบราซิลภายใต้บทบัญญัติมาตรา 301 แห่งกฎหมายการค้าปี ค.ศ. 1974
ภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งสูงกว่าภาษี 10% ที่เคยกำหนดไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยคำสั่งนี้มาพร้อมจดหมายถึงประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล ซึ่งทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อกระบวนการไต่สวนอดีตประธานาธิบดีสายขวาจัด ฌาอีร์ โบลโซนาโร
ทรัมป์ยังกล่าวหาบราซิลว่าโจมตีเสรีภาพในการเลือกตั้งและการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการออกคำสั่งลับให้จำกัดเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของสหรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
บราซิล ซึ่งเป็นคู่ค้าลำดับที่ 15 ของสหรัฐ มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 92 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 โดยสหรัฐมีดุลการค้าบวก 7.4 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ระบุในจดหมายว่า “ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศนั้นไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง” ซึ่งเป็นถ้อยคำเดียวกับจดหมายก่อนหน้าอีก 14 ฉบับที่ใช้กับประเทศอื่น ๆ
เคลื่อนไหวทางภาษีอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศขนาดเล็ก 7 ประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ (20%) ศรีลังกา แอลจีเรีย อิรัก และลิเบีย (30%) รวมถึงบรูไนและมอลโดวา (25%) แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าไม่ถึง 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีการประกาศเก็บภาษี 50% กับสินค้านำเข้าทองแดง และแผนจะเก็บภาษีกับชิปเซมิคอนดักเตอร์และยา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและการตัดสินใจของภาคธุรกิจ
เจรจากับสหภาพยุโรป
ในขณะที่ดำเนินมาตรการภาษีดังกล่าว ทรัมป์ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังเจรจาการค้ากับจีนและสหภาพยุโรป (EU) อย่างคืบหน้า โดยกล่าวว่า “อาจจะ” แจ้งอัตราภาษีแก่สหภาพยุโรปภายในสองวันนี้
มารอช เซฟโชวิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU กล่าวว่าการเจรจากำลังคืบหน้า โดยมีความหวังจะได้ข้อตกลงภายในไม่กี่วัน ขณะเดียวกัน มีการหารือมาตรการต่าง ๆ เช่น การลดภาษี การจำกัดโควตาการนำเข้า และการให้เครดิตภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป
ระดับภาษีของสหรัฐสูงสุดในรอบเกือบศตวรรษ
การดำเนินนโยบายภาษีครั้งนี้ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐพุ่งขึ้นเป็น 17.6% จาก 15.8% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบกว่า 90 ปี
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่าได้จัดเก็บรายได้จากภาษีไปแล้วประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 300 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยมารา ฮีลีย์ ผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ พรรคเดโมแครต กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกให้ลดต้นทุน แต่สิ่งที่เขาทำกลับทำให้ราคาสูงขึ้นและส่งผลเสียต่อธุรกิจของเรา”