“Estée Lauder” จากการทดลองในห้องครัว สู่อาณาจักรความงามระดับพรีเมียม
ไม่ว่าใคร เพศไหน อายุเท่าไร ล้วนมีสิทธิที่จะอยากดูดี นั่นทำให้ธุรกิจความสวยความงามและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงมากทุกยุคสมัย
และหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางที่เป็นที่โจษจันกันว่า ทำให้ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามสามารถดูดีได้ คือ “Estée Lauder” ซึ่งเริ่มต้นจากผู้หญิงเพียง 1 คน กับผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 4 สูตร แต่ปัจจุบันเติบโตจนกลายเป็น “Estée Lauder Companies” (ELC) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ความงามระดับพรีเมี่ยมที่วางจำหน่ายใน 150 ประเทศทั่วโลก
ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้แบรนด์ คือตัวของ “เอสเต ลอเดอร์” ผู้ก่อตั้ง และผู้ท้าทายบรรทัดฐานของอุตสาหกรรมความงาม เธอมีชื่อเสียงจากคำพูดที่ว่า “ฉันไม่เคยฝันถึงความสำเร็จ ฉันทำงานจึงไปถึงสำเร็จ”
นักทดลองในบ้าน
เอสเต ลอเดอร์ เกิดเมื่อปี 1908 เดิมชื่อ โจเซฟีน เอสเธอร์ เมนต์เซอร์ เธอเติบโตมาในย่านควีนส์ของกรุงนิวยอร์ก สหรัฐฯ โดยแม่ของเธอมาจากฮังการี ส่วนพ่อมาจากเพรสส์เบิร์ก (ปัจจุบันคือบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย) ส่วนชื่อเอสเตแผลงมาจากชื่อเล่นในวัยเด็กของเธอ “เอสตี”
การทำงานในร้านขายของของพ่อทำให้เอสเตมีความเข้าใจในเรื่องการค้าและการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ยังเด็ก
เอสเตเริ่มสนใจเรื่องความงามตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อลุงของเธอซึ่งเป็นนักเคมีมาอาศัยอยู่กับครอบครัว เขาคิดค้นครีมบำรุงผิวเนื้อเนียนนุ่มในห้องครัวของที่บ้าน จากนั้นจึงขยายไปอยู่ในคอกม้าหลังบ้านของครอบครัว ซึ่งต่อมาพวกเขาได้เปลี่ยนให้กลายเป็นห้องทดลอง
เอสเตได้เรียนรู้วิธีการคิดค้นครีมบำรุงผิวและทาครีมลงบนผิวอย่างเชี่ยวชาญจากลุงของเธอนี่เอง เธอเขียนในหนังสือชีวประวัติของเธอว่า “ฉันได้ค้นพบเส้นทางที่แท้จริงของฉันในตัวลุงจอห์น ฉันเฝ้าดูและเรียนรู้”
สาวน้อยเอสเตมุ่งมั่นที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอจึงขายสินค้าของลุงให้กับเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนมัธยมนิวตัน โดยเคยถึงขั้นแปลงโฉมใหม่ทั้งหมดให้เพื่อนเพื่อพิสูจน์คุณภาพของผลิตภัณฑ์ของลุงเธอ เธอเรียนรู้การตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้าตั้งแต่อายุยังน้อย
ในช่วงปลายทศวรรษปี 1920 เอสเตได้พบรักกับ โจเซฟ ลอเตอร์ หลังจากนั้นทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1930 และย้ายไปแมนฮัตตัน โดยตกลงเปลี่ยนนามสกุลจาก “ลอเตอร์” เป็น “ลอเดอร์” เพื่อแก้ไขคำที่สะกดผิดมาตั้งแต่สมัยที่พ่อของโจเซฟอพยพจากออสเตรียมายังสหรัฐฯ
นักขายในตำนาน
หลังแต่งงาน เอสเตยังคงปรับปรุงและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่เธอคิดค้นกับคุณลุง จนมีคุณภาพมากพอที่จะวางขาย จึงนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางไปเสนอขายในร้านเสริมสวย โดยสาธิตผลิตภัณฑ์ของเธอที่ตั้งชื่อว่า “ขวดแห่งความหวัง” ให้ผู้หญิงที่กำลังนั่งรอเป่าผม โดยช่วงแรกมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพียง 4 ตัว
เธอยังนำไปขายตามโรงแรม รถไฟใต้ดิน และแม้แต่ตามท้องถนน นอกจากนี้ เธอยังเริ่มไปเยี่ยมบ้านของลูกค้า ซึ่งเธอจะได้เพื่อนของพวกเขาและขายครีมบำรุงผิวต่อได้อีกทอด
ในปี 1946 เธอและสามีได้เปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ และ 1 ปีต่อมา พวกเขาก็ได้รับคำสั่งซื้อครั้งใหญ่ครั้งแรกจาก Saks Fifth Avenue ห้างสรรพสินค้าหรูในสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบแล้วมากกว่า 300,000 บาทในปัจจุบัน)
มีรายงานอันน่าตกใจว่า ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ Saks Fifth Avenue สั่งซื้อไปนั้น ขายหมดในเวลาเพียง 2 วัน!
เอสเตมีสัญชาตญาณโดยกำเนิดในการรู้ว่าผู้หญิงต้องการอะไร เธอเป็นนักขายและนักการตลาดที่เก่งกาจ เธอเชื่อว่าการจะขายให้ได้นั้น คุณต้องอธิบายผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าฟังและแสดงผลลัพธ์บนผิวของเธอเอง
เอสเตใช้พลังของการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก โดยยึดถือคติที่ว่า สินค้าจะขายได้ ต้องอาศัย “โทรศัพท์ โทรเลข ผู้หญิง”
เอสเตเคยบอกว่า “อย่าประเมินความปรารถนาที่จะสวยของผู้หญิงต่ำเกินไป”
เธอเสนอให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ฟรีเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ของ Estée Lauder ซึ่งช่วยสร้างแนวคิด “Gift with Purchase” ให้เป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานของอุตสาหกรรมความงาม และในยุคนั้นลูกค้ามักจะพบเธอที่เคาน์เตอร์ผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างด้วยตนเอง
เอสเตเข้าร่วมงานเปิดตัวร้านค้าใหม่เกือบทุกร้านและจะอยู่เป็นเวลา 1 สัปดาห์เพื่อสอนที่ปรึกษาความงามเกี่ยวกับเทคนิคการขายและการจัดแสดงสินค้าด้วยตัวเอง
เธอมักแต่งตัวเก๋ไก๋เสมอ และกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับผู้บริโภคเสมอ เธอยังเลือกสีเทอร์ควอยซ์อ่อนของขวดของแบรนด์ด้วย เพราะเชื่อว่าสีนี้จะสื่อถึงความหรูหราในขณะที่เข้ากับการตกแต่งห้องน้ำทั้งหมด
ไอคอนของสหรัฐฯ
ช่วงปี 1950 ผู้หญิงอเมริกันส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเก็บน้ำหอมไว้ใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษและรอรับน้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดหรือวันครบรอบแต่งงาน แต่เอสเตต้องการหาวิธีให้ผู้หญิงซื้อน้ำหอมเอง
ดังนั้นในปี 1953 เธอจึงได้คิดค้นน้ำมันอาบน้ำ Youth-Dew อันโด่งดังของแบรนด์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถใช้เป็นน้ำหอมสำหรับผิวได้อีกด้วย ด้วยส่วนผสมอันน่าหลงใหลของกุหลาบ มะลิ วาติเวอร์ และพิมเสน Youth-Dew จึงเข้ามาสร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมความงาม
นักแสดงหญิง โดโลเรส เดล ริโอ นักแสดงหญิงชาวละตินอเมริกาที่โด่งดังมากในสหรัฐฯ เคยบอกว่า เคล็ดลับในการ “ทำให้ผู้ชายหลงใหล” คือการใช้ Youth Dew
นวัตกรรมนี้เขย่าวงการเครื่องสำอางและช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีการขายน้ำหอม ทำให้บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งนี้กลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายล้านดอลลาร์
เอสเตยังมองว่า เธอสามารถก้าวไปได้ไกลกว่าชื่อแบรนด์ Estée Lauder จึงก่อตั้งแบรนด์ใหม่ 5 แบรนด์ ได้แก่ Aramis, Clinique, Prescriptives, Lab Series และ Origins และยืนกรานเสมอว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะต้องทำจากส่วนผสมที่มีคุณภาพสูง
ในปี 1982 Estée Lauder ได้เปิดตัวเซรั่มตัวแรกในสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า “Night Repair” เป็นต้นแบบของเซรั่มแอนไทเอจจิงในยุคปัจจุบัน
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการขยายอาณาจักรความงาม Estée Lauder จนปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีพนักงานมากกว่า 60,000 คนทั่วโลก และมีแบรนด์สินค้ามากกว่า 25 แบรนด์ภายใต้บริษัท ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอม
ความสำเร็จของ Estée Lauder ทำให้เอสเตได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ จนเรียกได้ว่า ทั้งตัวเธอและแบรนด์ของเธอได้กลายเป็นไอคอนของสหรัฐฯ ไปแล้ว
เอสเตสร้างอาณาจักรเครื่องสำอางภายใต้คำขวัญที่ว่า “ไม่มีผู้หญิงบ้าน ๆ มีแต่ผู้หญิงที่ไม่ใส่ใจ” และโน้มน้าว “ผู้หญิงที่ไม่ใส่ใจ” เหล่านั้นให้เชื่อว่า พวกเธอสามารถสวยได้ ด้วยความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยจากผลิตภัณฑ์ของเอสเต
ครอบครัวสานต่อ
สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเอสเตมากกว่าบริษัทก็คือครอบครัวของเธอ และเธอรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อลูก ๆ และหลาน ๆ ของเธอเข้ามาร่วมธุรกิจ เอสเตเกษียณอายุในปี 1995 และเสียชีวิตในปี 2004 ขณะอายุ 95 ปี
เอสเตและโจเซฟมีลูกชายด้วยกัน 2 คน คือ เลโอนาร์ด ลอเดอร์ และโรนัลด์ ลอเดอร์ ซึ่งทั้งคู่ได้เข้าร่วมบริษัทและเป็นผู้นำการเติบโตด้วยสายตาที่มองหาความสร้างสรรค์
เลโอนาร์ดเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารร่วมกับ วิลเลียม หลานชายของเสเต และหลานสาวอีก 2 คนก็รับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในบริษัท บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วยมูลค่าหุ้น 26 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
การเกษียณอายุของเอสเตไม่ได้ทำให้การขยายตัวช้าลง ในปี 1997 Estée Lauder ได้เปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมแบบองค์รวมอย่าง Aveda ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวจากพืช Aveda ได้รับความไว้วางใจจากช่างทำผมและร้านเสริมสวยหลายล้านแห่งทั่วโลก ปัจจุบัน Aveda มีร้านเสริมสวยและสปามากกว่า 8,000 แห่งทั่วโลก และเพียง 2 ปีต่อมา Estée Lauder ก็ได้เพิ่ม “Jo Malone” เป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของตน
บริษัทยังคงเติบโตต่อไปแม้ว่าเอสเตจะเสียชีวิตไปแล้ว โดยมีลูก ๆ และหลาน ๆ เป้นผู้ขับเคลื่อนบริษัท
ในปี 2005 บริษัทได้เซ็นสัญญากับนักออกแบบแฟชั่น ทอม ฟอร์ด เพื่อพัฒนาและจัดจำหน่ายน้ำหอมและเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ Tom Ford Beauty แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักจากน้ำหอม “Black Orchid” อันโด่งดัง และจนถึงทุกวันนี้ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์หรูที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
นอกจากนี้ Estée Lauder ยังได้เข้าซื้อกิจการจำนวนมาก เช่น Bumble & bumble แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, Smashbox Beauty Cosmetics แบรนด์ความงามเพียงแบรนด์เดียวที่พัฒนาจากสตูดิโอถ่ายภาพ หรือแบรนด์น้ำหอม “Kilian” จากปารีส
ทั้งนี้ เลโอนาร์ดเพิ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2025 ที่ผ่านมา สเตฟาน เดอ ลา ฟาเวอรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Estée Lauder กล่าวว่า “เขาเป็นทั้งสัญลักษณ์และผู้บุกเบิก และได้รับความนับถือจากทั่วโลก พลังงานและวิสัยทัศน์ของเขาช่วยหล่อหลอมบริษัทของเรา และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป”
เลโอนาร์ดมีทรัพย์สินประมาณ 10,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.3 แสนล้านบาท) ตามข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ประจำปี 2025
Estée Lauder รายงานรายได้ประจำปีงบประมาณ 2024 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2024 อยู่ที่ 15,610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.13 แสนล้านบาท) ลดลงมา 2% จากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 15,910 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.23 แสนล้านบาท)
ในส่วนของกำไร บริษัทมีกำไรสุทธิราว 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.28 หมื่นล้านบาท) ลดลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 1.01 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.32 หมื่นล้านบาท) ในปีก่อนหน้า
ปัจจัยหลักมาจากยอดขายในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง และยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลงในเอเชีย แต่มีการเติบโตในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตลาดยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา ญี่ปุ่น และละตินอเมริกา ซึ่งพอจะชดเชยได้บ้าง
จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในห้องครัวและน้ำพักน้ำแรงของผู้หญิงคนหนึ่ง นี่คือหนึ่งในอาณาจักรความงามที่ยิ่งใหญที่สุดในโลก
เรียบเรียงจาก (1) (2) (3) (4) (5) (6)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“Loewe” แบรนด์เก่าแก่สุดในอาณาจักร LVMH แต่กลับฮอตที่สุดในปี 2025
“Gebrüder Weiss” บริษัทขนส่งพัสดุเก่าแก่สุดในโลก ทำธุรกิจมากว่า 500 ปี!
“วอลโว่” รถหรูสวีเดนผู้ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ทุกวันนี้เป็นของจีน?
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “Estée Lauder” จากการทดลองในห้องครัว สู่อาณาจักรความงามระดับพรีเมียม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com