TFM Q2/68 ยอดขายนิวไฮ 1,476 ล้านบาท อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.30 บาท/หุ้น
TFM Q2/68 ยอดขายนิวไฮ 1,476 ล้านบาท อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.30 บาท/หุ้น
#ทันหุ้น #TFM บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 49.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 1,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% แรงหนุนสำคัญมาจากความต้องการอาหารกุ้งและอาหารปลาในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 22.9% จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่น คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 92% ของกำไรสุทธิ
ประเด็นหลัก (Key Takeaways)
ผลประกอบการทำสถิติสูงสุด: กำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 194 ล้านบาท (+49.7% YoY) และยอดขายอยู่ที่ 1,476 ล้านบาท (+13.8% YoY) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน
อัตรากำไรขั้นต้นโดดเด่น: อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 แตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 22.9% จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและการเพิ่มสัดส่วนสินค้ามาร์จิ้นสูง
ตลาดในประเทศเป็นพระเอก: การเติบโตของรายได้ขับเคลื่อนโดยยอดขายในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 19.1% YoYโดยเฉพาะกลุ่มอาหารกุ้งและอาหารปลา
เดินหน้าลงทุนและสร้างผลตอบแทน: บริษัทประกาศลงทุน 300 ล้านบาทเพื่อยกระดับสายการผลิต พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.30 บาทต่อหุ้น สะท้อนความเชื่อมั่นต่ออนาคต
เจาะลึกผลประกอบการ Q2/2568
กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดเกือบ 50% YoY
กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 ของ TFM อยู่ที่ 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 49.7% เมื่อเทียบกับ 129 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนการเติบโตอย่างโดดเด่นนี้มีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ประการ:
อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์: อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 22.9% จาก 18.8% ในปีก่อน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจาก:
ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง: ราคาวัตถุดิบหลัก เช่น กากถั่วเหลืองและปลาป่น ปรับตัวลดลงกว่า 24.4% และ 18.9% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน
การบริหารสัดส่วนผลิตภัณฑ์ (Product Mix): บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง โดยเฉพาะอาหารปลากะพง
ปริมาณการขายที่สูงขึ้น: ยอดขายที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ: ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 7.0% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 123 ล้านบาทส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่สูงในปีก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเหลือเพียง 8.3% จาก 10.2% ในปีก่อน
การเติบโตของรายได้หลัก: ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่ส่งผลต่อกำไรที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของกำไรนี้เกิดขึ้นแม้ว่าบริษัทจะมีภาระภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 29 ล้านบาท จากเพียง 1 ล้านบาทในปีก่อนสาเหตุหลักมาจากการหมดอายุของสิทธิประโยชน์ทางภาษี (BOI) สำหรับโรงงานบางแห่ง
รายได้รวมทำสถิติใหม่ จากความแข็งแกร่งของตลาดในประเทศ
รายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่1,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% จากปีก่อนโดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากตลาดในประเทศ ซึ่งยอดขายเติบโตถึง 19.1% และคิดเป็นสัดส่วนถึง 88% ของยอดขายทั้งหมด
เมื่อจำแนกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์:
อาหารกุ้ง: ยอดขายเติบโต 13.8% YoY มาอยู่ที่ 929 ล้านบาทโดยได้แรงหนุนจากปริมาณการขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น 22.5% จากการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
อาหารปลา: ยอดขายเติบโตแข็งแกร่ง 18.2% YoY มาอยู่ที่ 455 ล้านบาท โดยเฉพาะอาหารปลากะพงที่ปริมาณขายโตถึง 29.1% ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด
อาหารสัตว์บก: ยอดขายลดลง 12.2% YoY ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์เพื่อมุ่งเน้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ในทางตรงกันข้าม ตลาดต่างประเทศยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะยอดขายในอินโดนีเซียที่ลดลง 15.1% YoY จากปัญหาโรคระบาดในกุ้งที่ยังยืดเยื้อ
แนวโน้มในอนาคต: โอกาสจากประสิทธิภาพการผลิตและความเสี่ยงที่ต้องจับตา
ฝ่ายบริหารได้ให้มุมมองและยืนยันเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568 ซึ่งสะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทาย ดังนี้
โอกาส (Opportunities):
การลงทุนเพื่อยกระดับการผลิต: บริษัทฯ เดินหน้าลงทุน 300 ล้านบาท เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตสู่มาตรฐาน Industry 4.0 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2568 การลงทุนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังเป็นโครงการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (BOI) ซึ่งจะช่วยให้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ของบริษัทปรับตัวลดลงในอนาคต
อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง: บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีขึ้นเป็น 19-21% (จากเดิม 18-20%) สะท้อนความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการต้นทุนและสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
การยอมรับด้านความยั่งยืน: TFM ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน ESG100 เป็นครั้งแรก ซึ่งอาจช่วยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ
ความเสี่ยงและความท้าทาย (Risks & Challenges):
ตลาดอินโดนีเซีย: ปัญหาโรคระบาดในกุ้งยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อยอดขายในตลาดอินโดนีเซีย
การปรับเป้าการเติบโตของรายได้: บริษัทได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของยอดขายทั้งปี 2568 เล็กน้อยเป็น +7% ถึง +9% จากเดิมที่ +8% ถึง +10% เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดต่างประเทศ
ภาระภาษี: แม้จะมีโครงการที่ได้รับ BOI ใหม่ในอนาคต แต่ในระยะสั้นบริษัทยังคงเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้นจากการหมดอายุของสิทธิประโยชน์เดิมและผลกระทบจากเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax)
ที่มาของข้อมูล:
- บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน), คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาส 2 ปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568