วิกฤตอาณาจักร LVMH กลายเป็น ‘บททดสอบ’ 5 ทายาทตระกูลอาร์โนลต์ ท่ามกลางปริศนาใครคือผู้สืบทอดตัวจริง
ไม่ว่าบรรยากาศภายในห้องโถงที่ตั้งอยู่ใต้ปีระมิดแก้วของพิพิธภัณฑ์ Louvre จะตระการตาสักแค่ไหนก็ตาม ดูเหมือนแบร์นาร์ด อาร์โนลต์จะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนัก
แม้กระทั่งเสียงการบรรเลงเปียโนที่ระรื่นหูสำหรับใครหลายคน ก็กลายเป็นเสียงที่เสียดแทงใจของ “ต้องขออภัยด้วยที่เรายังเล่นเพลงเดิมกับเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะดี” ทำเอานักเปียโนมือฉมังถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก ขณะที่อาร์โนลต์บอกย้ำกับผู้บริหารว่าอย่าให้เห็นอะไรแบบนี้อีกในปีหน้า
ความไม่สบอารมณ์นี้ไม่ได้เกิดจากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เป็นเพราะเจ้าสัวแห่งวงการลักชัวรี ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ‘LVMH’ กำลังเผชิญกับปัญหาในระดับวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อกิจการของเขา
สถานะของเขาจากที่เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกก็กลายเป็นเรื่องของวันวานไปแล้ว แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาต้องตอบคำถามจากเหล่านักลงทุนในระหว่างการประชุมสามัญประจำปีของ LVMH ถึงปัญหาสารพันในอาณาจักรลักชัวรีของเขา
เมื่อความเชื่อมั่นที่เคยมีเริ่มหายไป อาร์โนลต์จะหาทางพาทุกคนฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร? และอะไรคือต้นตอของความตกต่ำที่ไม่มีใครคาดคิด?
ตกสวรรค์
“ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาที่เราติดตาม LVMH เราไม่เคยเห็นสัญญาณอันตรายเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ปิแอร์-โอลิวิเยร์ เอสซีก หัวหน้าของบริษัทวิจัยข้อมูล AIR Capital แสดงความเห็นถึงอาณาจักรลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ไม่สิต้องบอกว่าเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกถึงจะถูกมากกว่า
นั่นเพราะในเวลานี้หุ้นของ LVMH ที่เคยไต่ทะยานสูงสุดในเดือนเมษายน 2023 เวลานี้มูลค่านั้นเหลือเพียงแค่ครึ่งเท่านั้น หรือโดยประมาณแล้วมูลค่าหายไปกว่า 2.21 แสนล้านยูโร (8.38 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว
เวลานี้หุ้นของ LVMH อย่าว่าแต่จะติดท็อป 3 ของยุโรปที่เคยเป็นของแบเบอร์เลย พวกเขายังเสียสถานะของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของฝรั่งเศสไปให้กับ Hermès คู่แข่งหมายเลขหนึ่งของพวกเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเช่นกันกับอาร์โนลต์ที่ได้สูญเสียสถานะของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้ว หลังจากที่ในเดือนมีนาคม 2024 เขาเคยแซงหน้าทั้งอีลอน มัสก์ และเจฟฟ์ เบโซสได้ด้วยทรัพย์สินรวมมูลค่า 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.5 ล้านล้านบาท) แต่ภายในเวลาปีเดียวทรัพย์ของเขาลดลงมาเหลือเพียงแค่ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (4.87 ล้านล้านบาท) ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยังคงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปอยู่ก็ตาม
คำถามคืออะไรเป็นสาเหตุของความตกต่ำในครั้งนี้?
ภาพ : Lexie Moreland/WWD via Getty Images
มังกรยังเปลี่ยนใจ
ย้อนกลับไปในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ LVMH ยิ่งใหญ่ได้คือการตัดสินใจบุกตลาดตะวันออก โดยเฉพาะประเทศจีนที่กลายเป็นตลาดสำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง
คนจีนที่ร่ำรวยขึ้นมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตแบบทะยานฟ้าหลงรักและหลงใหลในเรื่องราวและคุณภาพของสินค้าจากฝรั่งเศส และต้องการมีไว้ในครอบครองเพื่อเป็นเครื่องสะท้อนของสถานะและรสนิยม ซึ่งนั่นทำให้ยอดขายของสินค้าในเครือ LVMH พุ่งขึ้นสูงเหมือนมังกรทะยานฟ้า
แม้กระทั่งในช่วงวิกฤตการณ์ระดับโลกอย่างเหตุการณ์ก่อการร้าย ‘911’ ที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกอย่างสิ้นเชิง และ ‘วิกฤตซับไพรม์’ หรือ ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ที่ล้มสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งก็ไม่อาจสะเทือนอาณาจักรของตระกูลอาร์โนลต์ได้ เพราะพวกเขามีตลาดที่เข้มแข็งในประเทศจีน
แต่คำว่าตลอดไปไม่มีอยู่จริง มังกรเองก็เปลี่ยนใจและเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน
วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง พฤติกรรมของผู้บริโภคในจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาลดละเลิกการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย หันมาประหยัดอดออมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่านิยมเปลี่ยนแปลงหันมาใช้แบรนด์ภายในประเทศ ทำให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มลักชัวรีภายในประเทศจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง
ยอดขายในร้านค้าทางยุโรปเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันเมื่อไม่มีนักช็อปมือหนักจากตะวันออกมาออกันเต็มหน้าร้านเหมือนเดิม
เพื่อนแท้ที่ชื่อทรัมป์
ผีซ้ำด้ามพลอย ตลาดสำคัญอีกแห่งทางตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาก็เจอตอเข้าอย่างจังด้วยกับเรื่องมาตรการภาษีการค้าในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ หรือที่เรียกกันว่า ‘ภาษีทรัมป์’ ก็กำลังทำพิษด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้ทำให้แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ต้องอาศัยความคุ้นเคยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีมาตั้งแต่ในยุค 1980 ในช่วงที่ยังทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา พยายามเจรจาเพื่อไม่ให้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรป
โดยเขาและลูกชาย อเล็กซองด์ ได้รับเชิญไปยังทำเนียบขาวเมื่อเดือนพฤษภาคม เพราะ Tiffany & Co บริษัทในเครือ LVMH เป็นผู้ออกแบบถ้วยรางวัลสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกที่จะจัดขึ้นในอเมริกาในปี 2026 ซึ่งทรัมป์ได้เรียกทั้งคู่ว่า ‘เป็นเพื่อนที่ดีเยี่ยมทั้งสอง’ และยังเคย FaceTime หารือกันด้วย
ภาพ : Budrul Chukrut/SOPA Images/LightRocket via Getty Images
แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาทรัมป์กลับคำ และขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ซึ่งขนาดแค่ขู่ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมหาศาล ถ้าเกิดขึ้นจริงย่อมกระทบต่อ LVMH อย่างรุนแรงแน่นอน
อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ต้นตอของปัญหาที่ทำให้เครือลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ
เพราะปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ได้เกิดจากแค่เพียงปัจจัยภายนอก แต่เป็นปัจจัยภายในที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดแข็งที่สุด
บ้านเล็กบ้านน้อย พลอยทำวุ่น
LVMH ในสายตาของชาวโลกคือเครือธุรกิจหรูที่ครบวงจรที่สุด มีแบรนด์ระดับชั้นนำของโลกรวมกันอยู่มากถึง 75 แบรนด์ด้วยกัน เรียกว่าไล่เรียงชื่อกันไปก็ย่อมมีสักแบรนด์ที่เป็นแบรนด์โปรดที่อยู่ในความใฝ่ฝันของใครต่อใครแน่นอน
Louis Vuitton, Dior, Moët Hennessy, Tiffany & Co เป็นตัวอย่าง แต่นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ร้านเครื่องสำอางอย่าง Sephora ไปจนถึงภัตตาคารแนวบิสโทร L’Ami Louis ที่ขายอาหารจานเด็ดอย่างไก่อบในราคาที่สูงกว่าตัวละ 100 ดอลลาร์ (3,300 บาท)
กลยุทธ์การกว้านซื้อกิจการของแบรนด์ต่างๆเหล่านี้ แต่ให้อิสระในการบริหารจัดการเองของแต่ละบ้าน (Maison) จากไอเดียของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ เป็นกลยุทธ์ที่เคยได้ผลมาตลอด เพียงแต่เมื่อถึงช่วงที่ยากลำบาก การมีแบรนด์อยู่เป็นจำนวนมากกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา
เพราะการมีมากเกินไปทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง ต่อให้อาร์โนลต์จะพยายามใส่ใจกับทุกแบรนด์ทุกช็อปในการเดินสำรวจตลาดทุกเช้าแค่ไหนก็ตาม เปรียบง่ายๆก็เหมือนมีพื้นที่ผืนใหญ่ แต่มีการสร้างบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ใส่ใจได้ไม่หมดและไม่ดีพอ
“ตราบใดที่ LVMH ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องนักลงทุนไม่เคยสนใจเรื่องของโครงสร้างของกลุ่ม แต่ในเวลาที่สถานการณ์เริ่มไม่ดีขึ้นมานักลงทุนจะสามารถจี้จุดที่เป็นปัญหาได้อย่างรวดเร็ว” อาเรียน ฮายาเตะ ผู้จัดการกองทุน Edmond de Rothschild Asset Management ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถือหุ้นบางส่วนของ LVMH กล่าว
คำแนะนำง่ายๆคือ LVMH ควรจะมีการตรวจหลังบ้านของตัวเองอย่างละเอียดและชี้แจงนักลงทุน รวมถึงควรจะมีการปล่อยแบรนด์บางแบรนด์ออกไปบ้าง
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ LVMH ได้ขายแบรนด์ที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าอย่าง Off-White และ Stella McCartney ซึ่งเป็นสองแบรนด์แฟชั่นสตรีทในระดับลักชัวรีออกไปเป็นที่เรียบร้อย และยังมีข่าวว่าพิจารณาจะแยก Moët Hennessy ซึ่งมีปัญหาภายในรวมถึง Sephora ออกไปด้วย
ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Hermès เดินในทางสายตรงข้ามด้วยการโฟกัสกับแบรนด์เดียว ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งตามข้อมูลจาก Bloomberg ราคาหุ้นของพวกเขาดีกว่า LVMH อย่างมาก (50 เท่าต่อ 20 เท่าในการประเมินมูลค่าหุ้น)
ภาพ: Budrul Chukrut/SOPA Images/LightRocket via Getty Images)
บททดสอบที่หนักหน่วง
ความสำเร็จของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ในฐานะเจ้าพ่อวงการลักชัวรี ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันได้ว่าความเก่งกาจนั้นจะถูกส่งต่อลงมาถึงทายาทที่แต่งตัวเตรียมที่จะขึ้นมารับช่วงต่อไปในอนาคต
อย่างน้อยในเวลานี้มีถึง 2 คนจากทั้งหมด 5 คนในบรรดาลูกๆของบ้านอาร์โนลต์ที่กำลังตกอยู่ใต้ความกดดันอย่างหนัก
คนแรกคือ เดลฟีน อาร์โนลต์ ธิดาที่เป็นลูกคนโตของครอบครัวในวัย 50 ปี ซึ่งได้รับมอบหมายโดยตรงจากตัวของแบร์นาร์ดให้มาคุมบ้าน Dior ตั้งแต่เมื่อปี 2023
Dior นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเขาเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอาณาจักรหรูหรา LVMH ซึ่งการเข้ามารับหน้าที่ดูแลนั้นเป็นการฝึกอีกขั้นของเดลฟีน หลังจากที่บริหารงานของ Louis Vuitton มาเป็นเวลาร่วมทศวรรษ
ในช่วงแรกนั้น Dior ภายใต้การนำของเธอยังทำได้ดี ตัวเลขการเติบโตสูงถึง ‘สองหลัก’ และมีผลิตภัณฑ์สุดฮิตอย่างกระเป๋า Dior Book ที่ราคาสูงถึง 2,750 ยูโร (104,000 บาท) ที่ศิลปินและนักแสดงคนดังอย่าง Rihanna และ Jennifer Lawrence ใส่
แต่หลังจากนั้นผลประกอบการของแบรนด์ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นสาเหตุคือราคาของสินค้าที่ “สูงแบบไม่มีเหตุผล”
ไม่เพียงเท่านั้น Dior ยังประสบปัญหาในเรื่องข่าวการพบว่ามีการจ้างแรงงานผิดกฎหมายในการผลิต ซึ่งแม้จะมีความพยายามในการยุติเรื่องที่เพิ่งจบไปเมื่อเดือนพฤษภาคม แต่ก็ช้าเกินไปแล้วเพราะชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายป่นปี้ไปแล้ว
ลูกอีกคนที่ต้องเจอกับสถานการณ์ลำบากคือ อเล็กซองด์ บุตรชายคนที่ 3 ในวัย 33 ปีที่ถูกมอบหมายให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในบ้าน Moët Hennessy ร่วมกับ ฌอง-ฌักส์ ชัวนี อดีตซีเอฟโอของกลุ่ม LVMH ที่ได้รับมอบตำแหน่งซีอีโอ
ช่วงที่ผ่านมา Moët Hennessy มีปัญหาเรื่องยอดขายต่ำ สู้คู่แข่งในตลาดอย่างเครื่องดื่มเตกีลา หรือเบอร์เบินไม่ได้ ไหนจะมีเรื่องกำแพงภาษีระหว่างจีนกับยุโรปที่ทำให้ยอดขายของเหล้าคอนยักในจีนเติบโตสวนทางกับยอดขายของแบรนด์ที่ลดลงอย่างหนัก
ปริศนาผู้สืบทอด
แน่นอนว่าการพยายามแก้ปัญหาให้กับทั้ง Dior รวมถึง Moët Hennessy เป็นเรื่องหลักที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเครือ LVMH ทั้งหมด แต่สิ่งที่ยังเป็นคำถามใหญ่ในความรู้สึกของนักลงทุนคือคนที่จะมาสืบทอดทุกอย่างต่อจากแบร์นาร์ด อาร์โนลต์
จริงอยู่ที่ตัวของแบร์นาร์ดในวัย 76 ปียังแข็งแรง และเพิ่งจะมีการขอมติในระหว่างการประชุมประจำปีในการยืดอายุงานจาก 80 เป็น 85 ปี แต่ไม่มีใครที่อยู่ค้ำฟ้า สักวันเขาต้องส่งต่อให้กับลูกๆอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
ระหว่างเดลฟีน, อองตวน, อเล็กซองด์, เฟรเดริก และฌอง สักคนต้องขึ้นมาแทนที่
มองในแง่ดีในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยแบบนี้ ก็เป็นบททดสอบฝีมือและหัวใจของเหล่าทายาทตระกูลอาร์โนลต์ว่าพวกเขาจะประคับประคององค์กรไหวหรือไม่ โดยเชื่อว่าจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงฝีมือในการบริหารและการแก้ปัญหาของแต่ละคน ที่ไม่ได้มีเพียงแค่การสั่งงาน หรือการดูตัวเลข แต่ยังรวมถึงเรื่องของการบริหารจัดการคน และการตัดสินใจที่สำคัญ
ตัวของแบร์นาร์ดเองก็ไม่ได้จะทิ้งขว้างแบรนด์ เพราะ LVMH ไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจ แต่เป็นเหมือน ‘ลูก’ อีกคนที่ต้องดูแลอย่างดีที่สุดจนถึงวันสุดท้าย อย่างไรก็ดีในระหว่างที่ลูกๆทั้ง 5 กำลังลงทะเบียนเรียนในวิชา ‘ทายาท LVMH ชั้นสูง’ ในเวลานี้ เขาวางตัว สเตฟาน เบียงคี อดีตที่ปรึกษาจาก Arthur Andersen ซึ่งเข้ามาอยู่ในเครือตั้งแต่ปี 2018 โดยทำงานในบ้าน Tag Heuer ร่วมกับเฟรเดริก มาเป็นมือรองจากเขาก่อน
เบียงคีกล่าวในการประชุมว่าการหาทายาทของ LVMH เป็นแผนระยะกลาง แต่การที่ไม่มีการวางตัวแบบนี้ก็ยังทำให้เครื่องหมายคำถามของนักลงทุนไม่หายไป
โดยแม้ว่าจะมีคนมองว่าการบริหารงานในแบบ ‘ครอบครัว’ ของแบร์นาร์ด อาร์โนลต์จะเป็นวิธีแบบเก่าที่อาจจะไม่ได้ผลแล้วสำหรับสมัยนี้
แต่ในเมื่อนี่คืออาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นมา นี่คือบ้านที่เขาต่อขึ้นมา
พ่อบ้านคนนี้คงไม่ยอมให้ใครมายุ่มย่ามจนเกินไป และเขาไม่ยอมให้บ้านหลังนี้ถล่มง่ายๆแน่นอน
ภาพ: Andrea Savorani Neri/NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/features/2025-06-18/louis-vuitton-owner-lvmh-reels-from-luxury-downturn-with-arnault-under-pressure
- https://www.bloomberg.com/features/2024-lvmh-bernard-arnault/
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-05-28/lvmh-warns-chinese-are-curtailing-travel-and-overseas-spending
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-06-10/dior-italy-unit-put-under-court-control-on-alleged-labor-issues
- https://www.bloomberg.com/graphics/2023-bernard-arnault-louis-vuitton-moet-hennessy-succession/