ผวาการเมืองวุ่น ฉุดลงทุนเอกชน ลุ้นคดีคลิปเสียงนายกฯ 29 ส.ค. ผวาสุญญากาศทุบเชื่อมั่นดิ่ง
คดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่วุฒิสภาส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ตีความตัดสินว่าจะฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะมีการพิจารณาตัดสินคดีในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 กำลังเป็นที่จับตาของทุกภาคส่วนว่าผลการตัดสินใจจะออกมาอย่างไร เพราะหากมีความผิด จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หากพิจารณาตัดสินแล้วไม่พบมีความผิด นางสาวแพทองธาร จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
จากการพิจารณาคดีดังกล่าว”ฐานเศรษฐกิจ”ได้สำรวจความคิดเห็นของภาคส่นต่าง ๆ ทั้งนักวิชากการและภาคธุรกิจ ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศว่าจะมีผลอย่างไรหรือไม่
ชี้ไม่มีผลกระทบเครดิตประเทศ
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร จะไม่ได้มีผลกับภาพรวมการประเมินเครดิตของประเทศไทย ซึ่งปีนี้ยังเหลือการประเมินเครดิตจาก Fitch Ratings หรือฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่จะออกมาช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยคาดว่าจะยังคงอันดับเครดิตไทยเช่นเดียวกันกับปีที่แล้ว แต่อาจจะมีความกังวลในเรื่องผลกระทบทางการเมืองที่จะมีผลต่อ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่อาจจะมีผลบังคับใช้ล่าช้าออกไป
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าสถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าว จะไม่มีผลต่องบประมาณปี 2569 เนื่องจากขณะนี้งบประมาณได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้ว
ส่วนในเรื่องพื้นที่ทางการคลัง สถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยนั้น มองว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตไม่ได้โฟกัสในเรื่องดังกล่าวมาก เนื่องจากมีข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว ที่สามารถวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้
หวั่นเกิดสุญญากาศทางการเมือง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภาคเอกชนไม่ต้องการให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองขึ้นในประเทศไทย เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงและซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้านในช่วงเวลานี้ ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกันจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรักษาตัวเลขการลงทุนและภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรี ยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจะช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพและความมั่นใจให้แก่ทั้งภาคธุรกิจ นักลงทุน รวมถึงประชาชนโดยรวม อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว
ส่วนกรณีที่ต้องพ้นจากตำแหน่ง ภาคเอกชนต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถดำเนินนโยบายระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงภาคการเมืองไทยจะต้องเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยการเคารพหลักการของประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างเข้มงวด
เชื่อเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า กรณีของนางสาวแพทองธาร นั้น ไม่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง เพราะนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นรายใหญ่ คุ้นเคยกับสถานการณ์การเมืองไทยอยู่แล้ว และการลงทุนที่ปักหลักไปแล้วจะไม่ถอนกิจการ จากปัจจัยทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเดียว
รวมถึงนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามา จะมุ่งไปที่เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของทุกรัฐบาล แต่ตอนนี้ก็ต้องอดใจดูว่ากรณีนายกฯ จะออกหัวออกก้อยอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าการเมืองจะมาในรูปแบบใด กลุ่มทุนและนักลงทุนก็สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดี และต่างชาติก็เข้าใจภาพการเมืองไทยเช่นนี้
ดร.ธนิต กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังว่า ยังคงเดินหน้าไปต่อได้ เห็นได้จากการส่งออก ล่าสุดในช่วง 7 เดือนของปีนี้ยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีความกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ เพราะก็ยังเห็นสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่องถึงเดือนสิงหาคม จะมีแค่การส่งออกไปกัมพูชาที่กระทบเท่านั้น ส่วนการท่องเที่ยว อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่ 33 ล้านคน และอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนบ้าง
นักวิชาการประเมิน 3 ฉากทัศน์
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบต่าง ๆ หากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาออกหรือหลุดจากตำแหน่งหรือยังดำรงต่ำแหน่งอยู่ สถานการณ์ดังกล่าวต้องแบ่งออก เป็น 3 ส่วน ได้แก่
1.หากนายกฯ มีการประกาศลาออกหรือหลุดออกจากตำแหน่ง แต่รัฐสภายังคงดำเนินการต่อ ต้องมีการโหวตเลือกตั้งนายกฯคนใหม่ ว่าจะมาจากพรรคเดิม คือ พรรคเพื่อไทย หรือ จากมาพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ หากยังคงเป็นพรรคเดิม คาดว่าเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าต่อ เนื่องจากมีนโยบายคงเดิม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาดูว่าใครเป็นนายกฯ จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องตามถ้าสมมุติว่าการได้รับการยอมรับจากประชาชนเพียงแค่เปลี่ยนตัวนายก แต่ภายใต้พรรคร่วมเดิม เศรษฐกิจก็เดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่น่ามีปัญหาอุปสรรค
2. หากมีการยุบสภาฯ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ จะทำให้การบริโภคชะลอลง เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเพราะประชาชนไม่มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งอาจจะกระทบเศรษฐกิจไตรมาส 4 และ 3. นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง และมีการยุบสภา ก่อนมีการตัดสินคดี ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ซึ่งต้องมีการจัดสรรเลือกตั้งนายกฯ คนใหม่ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 45-60 วัน จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้า รัฐบาลรักษาการก็จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้
กระทบความเชื่อมั่นแค่ระยะสั้น
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) สะท้อนว่า ไม่ว่านางสาวแพทองธาร จะอยู่หรือไปในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ธุรกิจยังเดินหน้าต่อ เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องมีผู้ทำหน้าที่นายกฯไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ต้องทำงานแบบ 100% อีกทั้งการพิจารณางบประมาณปี 2569 ผ่านได้แล้ว ก็ถือว่าไม่ได้เป็นความน่ากังวลมากนัก รวมถึงเชื่อว่า จะยังไม่มีการยุบสภาในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภาฯในช่วงต้นปี 2569 ถือเป็นโอกาสที่จะมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ขอให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะในทางธุรกิจกับนักธุรกิจด้วยกัน ความมีเสถียรภาพเป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุด
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอิตัลไทย และผู้ก่อตั้งออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) สะท้อนว่า ไม่ว่านายกฯจะอยู่หรือไป ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ธุรกิจยังต้องอยู่และเดินหน้าต่อเหมือนเดิม เพียงแต่มีผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นหรือภาพลักษณ์ระยะสั้นเท่านั้น เพราะประเทศไทยมีการเปลี่ยนตัวนายกฯบ่อยอยู่แล้ว
“สิ่งที่รัฐบาลต้องทำตอนนี้คือ เลิกทะเลาะกัน มองประเทศชาติมากขึ้น ว่าต้องการอะไร ทั้งความสมานฉันท์ การเดินไปข้างหน้า และปากท้องของประชาชน เพราะคนทำงานเหนื่อยมาก รวมถึงผู้ประกอบการด้วย เพราะหากคนทำงานเหนื่อยแล้ว เจ้าของกิจการก็เหนื่อยไม่แพ้กัน เนื่องจากกำลังซื้อลดลง”
ขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวในปี 2568 นี้ มองว่า คงไปไม่ถึงเป้าหมายที่ 35 ล้านคน ส่วนปี 2569 หวังว่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ยังมองว่าคงทรงตัว จำนวนคงไม่ได้พุ่งเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้ดีมากนัก กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง รวมถึงคนไทยที่ขณะนี้เหนื่อยกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้าหรือธุรกิจส่วนใหญ่ เพราะปัญหาหลักคือ การหารายได้ ทำให้ไตรมาส 3 ปี 2568 เริ่มมีหลายบริษัทในหลายเซกเตอร์เริ่มลดคนทำงานแล้ว
เอกชน-นักลงทุนเกาะติดสถานการณ์
ดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป หรือ TFPA กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทย ที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนครั้งสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ 2 แนวทางที่ส่งผลกระทบแตกต่างกัน กรณีแรก หากนายกรัฐมนตรีลาออกหรือหลุดจากตำแหน่ง จะเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที บั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยภาคเอกชนและนักลงทุนต้องรอดูสถานการณ์ รอความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ อาจจะต้องประคองตัวเองให้ดี เพราะการพึ่งพาภาครัฐอาจเป็นไปได้ยาก ซึ่งกระบวนการจัดตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรืออาจรวมถึงผู้บริหารฝ่ายต่างๆ อาจล่าช้าและส่งผลกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจในภาพรวมได้
ส่วนกรณีหากนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป แม้จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในระยะสั้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาภาวะศรษฐกิจที่ซบเซาในปัจจุบันได้ เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ มากระตุ้นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่พลิกผันหรือไม่เป็นไปตามครรลอง อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาว และส่งผลให้เศรษฐกิจที่ยังเปราะบางอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอีกในช่วงครึ่งปีหลัง
การเมืองปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งจีดีพีในไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตเพียง 2.8% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนามที่เติบโต 8.0% และฟิลิปปินส์ 5.5% ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจชุมชนที่ซบเซา กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง รายได้ที่สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นผลมาจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นที่ไม่เพียงพอ
นอกจากนี้การขาดความเชื่อมั่นทางการเมืองยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) และนักท่องเที่ยว ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการบริโภคโดยตรง
หวั่นกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติ
นายพีรวัส เจนตระกูลโรจน์ ทายาทรุ่นที่ 2 บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด หรือแบรนด์ ‘ศรีฟ้า’ เบเกอรี่กาญจน์ แสดงความเห็นว่า แม้เหตุการณ์ทางการเมืองจะมีความสำคัญ แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับธุรกิจซึ่งเป็น SME ที่เน้นทำตลาดกับผู้บริโภคโดยตรง ราคาสินค้าเข้าถึงง่ายและไม่ต้องพึ่งนโยบายรัฐหรือใช้อำนาจทางราชการในการดำเนินธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หากการลาออกหรือหลุดจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี อาจส่งผลต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติลดลง เพราะนักลงทุนมักจับตาสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่หากอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อ เชื่อว่าจะช่วยให้ความเชื่อมั่นและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐยังไม่เกิดการสะดุด ส่งผลให้การวางแผนลงทุนของนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นใจ
อสังหาฯ ชี้ เศรษฐกิจขาดเชื่อมั่น
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนว่า หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากชี้ว่าผิด มองว่าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการบริหารประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องรอการจัดทัพใหม่ไม่ให้เกิดสุญญากาศนาน แต่สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อและสถาบันการเงินปฎิเสธสินเชื่อมาอย่างยาวนานผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างช่วยเหลือตัวเอง เพื่อสร้างยอดขาย ระบายสต๊อก แต่ในทางกลับกันผู้ประกอบการยังต้องการมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามมองว่า ครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยง อย่างภาษีทรัมป์ แม้จะลงตัวที่19% แต่รายละเอียดของแต่ละเซ็กเตอร์ธุรกิจยังไม่ออกมา ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าจะกระทบหรือไม่ ที่น่าจับตาคือความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มองว่าไม่สงบโดยง่ายและเสี่ยงปะทะรอบสอง จะทำให้เศรษฐกิจชายแดนได้รับผลกระทบ