Lay off ไม่ใช่จุดจบ 6 เคล็ดลับพนักงานประจำเตรียมตัวสู่ฟรีแลนซ์
โลกการทำงานในปี 2025 เป็นอีกปีที่หลายบริษัทเลย์ออฟพนักงานกันฉ่ำ บางแห่งปลดคนออกเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเปิดโครงการให้สมัครใจลาออกตั้งแต่อายุ 45 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยมากสำหรับการเกษียณก่อนเวลาเมื่อเทียบตามเกณฑ์ดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม หนทางในการทำงานและสร้างรายได้ต่อไปยังมีอยู่ หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจคือการมุ่งสู่เส้นทางการเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงไม่แพ้งานประจำ
แม้ภาพจำของการเป็นฟรีแลนซ์อาจดูดีมีชีวิตอิสระ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้านาย ออกแบบเวลางานเองได้ บริหารจัดการงานงานเองได้ ทำงานได้ที่บ้าน และเป็นนายตัวเอง แต่รู้หรือไม่? ชีวิตจริงของการเป็นฟรีแลนซ์นั้น "ไม่ง่ายอย่างที่คิด" และมีหลายสิ่งที่ต้องแบกรับไม่ต่างจากการทำงานประจำ บางอย่างอาจหนักกว่าด้วยซ้ำ
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ถูก Lay Off ออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน และกำลังมองหาทางเลือกใหม่ หรือเป็นผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้วแต่อยากพลิกเส้นทางสู่การเป็นฟรีแลนซ์ก็ตาม ควรรู้ไว้ว่า การทำงานอิสระต้องมีการเตรียมตัวให้ดี มีข้อควรระวัง ข้อควรรู้ และคำแนะนำในหลายมิติ เพื่อให้ประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพทางการเงินไปพร้อมกัน
เปิดโลก 'มนุษย์ฟรีแลนซ์' ความเป็นจริงที่ต้องรู้
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า เส้นทางสายอาชีพแบบฟรีแลนซ์นั้นไม่ง่าย คุณจะต้องเผชิญกับหลายความท้าทายหลายมิติ ..และนี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้และเตรียมพร้อมก่อน หากอยากเป็นฟรีแลนซ์จริงๆ
1. ต้องมีฝีมือและพัฒนาตนเองเสมอ: การเป็นฟรีแลนซ์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีฝีมือ และหมั่นพัฒนาความสามารถอยู่เสมอ เพื่อให้โดดเด่นและเป็นที่ต้องการของลูกค้าในตลาดฟรีแลนซ์ที่มีการแข่งขันสูง
2. ต้องมีวินัยเป็นเลิศ: แม้จะทำงานตอนไหนก็ได้ แต่ฟรีแลนซ์ก็มีกำหนดส่งงาน (เดดไลน์) ที่เข้มงวด หากขาดวินัย ก็อาจไม่เหมาะกับอาชีพนี้ เพราะการส่งงานไม่ทันหรือถูกตามงานบ่อยครั้ง จะทำให้ยากต่อการหาลูกค้าประจำหรือสร้างคอนเนกชันที่ดีได้
3. ต้องขยัน: ฟรีแลนซ์ไม่มีเงินเดือนประจำหรือโบนัส ดังนั้นยิ่งรับงานมากเท่าไรก็จะได้เงินมากเท่านั้น นอกจากนี้ การขยันรับงานยังช่วยสร้างคอนเนกชั่นซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อฟรีแลนซ์ แต่ก็ควรเลือกรับงานและบริหารเดดไลน์ให้ดีเพื่อไม่ให้เหนื่อยเกินไป หรือป้องกันงานไม่เสร็จตามกำหนด
4. เจ็บป่วยมาต้องจ่ายเอง: ฟรีแลนซ์ไม่มีเงินเดือน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีประกันสังคม และไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เหมือนพนักงานประจำ ทุกอย่างต้องบริหารจัดการและจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้ รายได้ของฟรีแลนซ์ยังมีความไม่แน่นอน คาดเดาได้ยาก
6 ข้อเตรียมตัวสู่ฟรีแลนซ์ที่อยู่รอดได้มั่นคง ท่ามกลางวิกฤติเลย์ออฟ
เมื่อรู้แล้วว่าการเป็นฟรีแลนซ์จะต้องรับผิดชอบตัวเองอย่างไร และมีความแตกต่างจากพนักงานประจำแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารรายรับรายจ่าย และค่ารักษาตัวเองยามเจ็บป่วยต่างๆ หากรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ถัดมาก็มีคำแนะนำ เคล็ดลับ และวิธีเตรียมตัวเปลี่ยนผ่านจากมนุษย์เงินเดือนสู่ฟรีแลนซ์ให้ราบรื่น ดังนี้
1. เตรียมเงินสดสำรองให้อยู่ได้อย่างน้อย 6 เดือน
ในช่วงแรกของการเป็นฟรีแลนซ์ โดยเฉพาะในเดือนแรกๆ คุณอาจมีฐานลูกค้าไม่มาก งานน้อย และคอนเนกชั่นยังไม่แน่น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมเงินสดสำรอง ซึ่งควรแยกจากบัญชีเงินเก็บทั่วไป โดยวางแผนให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่างๆ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้คุณสามารถอยู่รอดได้ในช่วงที่ยังไม่มีงานเข้ามามากนัก นอกจากนี้ ควรเตรียมเงินสภาพคล่องเพิ่มเติมเผื่อไว้ สำหรับหมุนเวียนในธุรกิจอีกส่วนหนึ่งด้วย
2. จัดการธุรกรรมทางการเงินให้เรียบร้อยก่อนลาออก
การมีรายได้ไม่สม่ำเสมอและคาดเดาได้ยากในฐานะฟรีแลนซ์ จะทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่างเป็นเรื่องยากขึ้น ดังนั้น ก่อนลาออกจากงานประจำ ควรดำเนินการทำบัตรเครดิต หรือการขอกู้เงินต่างๆ ให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการถูกธนาคารปฏิเสธในภายหลัง
หากต้องการสร้างเครดิตทางการเงินในฐานะฟรีแลนซ์ แนะนำให้เปิดบัญชีเงินฝากและฝากเงินเข้าบัญชีนั้นอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เพื่อแสดงให้เห็นถึงวินัยและการวางแผนเก็บเงิน ซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรมต่างๆ ง่ายขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องทำความเข้าใจเรื่องกำหนดชำระภาษี สวัสดิการด้านสุขภาพที่จำเป็น และงบประมาณรายเดือนของคุณด้วย
3. ทำประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ
เมื่อเป็นฟรีแลนซ์แล้ว ค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างต้องจ่ายเอง ดังนั้น ก่อนลาออก ควรทำประกันทั้งสุขภาพและอุบัติเหตุ รวมถึงพิจารณาสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 สำหรับฟรีแลนซ์ หรือ มาตรา 39 (ออกจากมาตรา 33 ของพนักงานประจำ) เพื่อรับความคุ้มครองต่อเนื่องใน 6 สิทธิ ได้แก่ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
การมีประกันรองรับจะช่วยให้อุ่นใจ ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงลำพัง หรือต้องควักเงินสำรองไปจ่ายเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การวางแผนออมเงินเพื่อการเกษียณก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แม้ฟรีแลนซ์จะไม่มีเครื่องมือออมเงินภาคบังคับหรือนายจ้างช่วยออม แต่คุณสามารถเลือกออมผ่านกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ได้ เพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย
4. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทและเพื่อนร่วมงาน
แม้จะลาออกจากที่ทำงานเก่าไปแล้ว แต่สายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า คู่ค้า หัวหน้างาน หรือผู้บริหารยังคงเป็นคอนเนกชันที่สำคัญอย่างยิ่ง หากคุณเคยทำงานได้ดี มีวินัย และสม่ำเสมอในออฟฟิศ บุคคลเหล่านี้อาจกลายมาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคตได้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและจริงใจไว้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อคุณออกมาเป็นฟรีแลนซ์ นอกจากนี้ คุณควรแจ้งให้คนในเครือข่ายของคุณทราบว่าคุณพร้อมรับโอกาสงานฟรีแลนซ์ และระบุประเภทของงานที่คุณมองหาอย่างชัดเจน
5. เตรียมพอร์ตนำเสนองานและประวัติส่วนตัว
สิ่งที่จะทำให้คุณได้งานคือ Portfolio ที่โดดเด่น และเรซูเม่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ในพอร์ตควรใส่ผลงานที่น่าสนใจ ทักษะความสามารถ โปรแกรมที่ถนัด และช่องทางการติดต่อ แล้วนำไปฝากไว้ในเว็บไซต์หางานฟรีแลนซ์หรือเพจเฟซบุ๊กรับสมัครงานต่างๆ
หากเป็นสายงานศิลปะ การสร้างโซเชียลมีเดียสำหรับรวบรวมผลงานโดยเฉพาะก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้ เรซูเม่ควรปรับให้เข้ากับลูกค้าที่คุณต้องการ โดยเน้นย้ำทักษะที่ดีที่สุดของคุณ การหมั่นอัปเดตพอร์ตและเรซูเม่ด้วยทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้คุณโดดเด่น นอกจากนี้ คุณยังต้อง สร้างแบรนด์ส่วนตัว ที่สะท้อนบุคลิกภาพ ค่านิยม และเป้าหมายของคุณ เพื่อสร้างความแตกต่างจากฟรีแลนซ์คนอื่นๆ ด้วย
6. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมทำงานที่บ้าน
ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน ซึ่งอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ อาจจะไม่พร้อมเท่ากับการทำงานที่ออฟฟิศ ดังนั้น การกันเงินออกมาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์การทำงานที่บ้าน ก็เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน เก้าอี้ โน้ตบุ๊ก เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องปริ้นเตอร์ ฯลฯ การมีอุปกรณ์ที่ดีไม่เพียงช่วยให้งานมีประสิทธิภาพและลื่นไหล แต่ยังช่วยให้คุณมี Productivity เพิ่มขึ้นด้วย
การเปลี่ยนผ่านจากพนักงานประจำสู่เส้นทางมนุษย์ฟรีแลนซ์ หรือการเริ่มต้นอาชีพฟรีแลนซ์หลังถูกเลย์ออฟ เป็นโอกาสที่ดีในการกำหนดเส้นทางอาชีพด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยการเตรียมตัวอย่างรอบด้าน ทั้งด้านทักษะ การเงิน การสร้างเครือข่าย และการบริหารจัดการตนเอง เพื่อให้สามารถมีอิสระทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และเวลาให้ครอบครัว ตลอดจนมีอิสรภาพทางการเงินไปพร้อมกันได้
อ้างอิง: SET, OFM Blog, LinkedIn, Creative Artisantalent