โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

STRAVA ทำยังไงให้กลายเป็นเหมือนโซเชียลมีเดียและคอมมิวนิตี้ของคนออกกำลังกาย

Capital

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Insight

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ย่อมต้องคุ้นเคยกับชื่อของแพลตฟอร์ม Strava อย่างแน่นอน

ยิ่งในยุคดิจิทัลที่การออกกำลังกายไม่ได้เป็นเพียงการฝึกเพียงลำพัง แต่อาจหมายถึงการเชื่อมต่อกับคอมมิวนิตี้ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน Strava คือแอพพลิเคชั่นที่ช่วยบันทึก วิเคราะห์ และเก็บสถิติการออกกำลังกาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนการวิ่ง การปั่นจักรยาน และกิจกรรมการออกกำลังกายอื่นๆ ให้กลายเป็น ‘ประสบการณ์’ ที่คนทั่วโลกแบ่งปันร่วมกันได้

ความนิยมของ Strava ไม่ได้มาจากเพียงแค่เทคโนโลยี แต่รวมถึงการเข้าถึงจิตวิทยาและธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมุ่งมั่น การแข่งขัน การผลักดัน และการต่อสู้ ทำให้การออกกำลังกายในทุกวันกลายเป็นความท้าทายและมีความหมายที่มากกว่าการออกกำลังกาย

แต่ไม่ว่าการออกกำลังกายของคุณจะเป็นเรื่องของการต่อสู้และผลักดันขีดจำกัดของตัวเองตามลำพัง หรือคือการเชื่อมต่อและแบ่งปัน Strava ถือเป็นตัวช่วยที่สร้างแรงบันดาลใจและผลักให้ทุกความตั้งใจนั้นบรรลุได้

Biztory รอบนี้ขอพาไปสำรวจว่า ทำไม Strava จึงเป็นแอพพลิเคชั่นที่สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจจากการผสานเรื่องของกีฬาเข้ากับการเชื่อมต่อทางสังคม และการเติบโตของแอพสะท้อนถึงเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยคอมมูนิตี้ยังไง

การพบกันของสองนักพายเรือ

กลางทศวรรษ 1980 ไมเคิล ฮอร์วาธ (Michael Horvath) และมาร์ก เกนี (Mark Gainey) พบกันครั้งแรกขณะทั้งคู่เป็นนักพายเรือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard) ในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี

กิจวัตรประจำวันในการซ้อมพายเรือ และ ‘ประสบการณ์ร่วม’ ในการใช้ชีวิตก่อร่างสร้างมิตรภาพให้ทั้งคู่ ขณะที่ช่วงกลางทศวรรษ 80 นั้น ทีมพายเรือของฮาร์วาร์ดมักมีการแข่งขันมหาวิทยาลัยในเครือไอวีลีก (Ivy League) หรือมหาวิทยาลัยเอกชนเก่าแก่ 8 แห่ง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ รวมถึงมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton) และมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ในรายการสำคัญ เช่น Goldthwait Cup และ Eastern Sprints

ขณะที่กีฬาพายเรือนั้นต้องอาศัยความไว้ใจ วินัย และความอดทน สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมทั้งบุคลิกและมิตรภาพของทั้งไมเคิลและมาร์กให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

กล่าวได้ว่า ในห้วงเวลาของการเป็นนักศึกษาและนักกีฬาพายเรือมหาวิทยาลัย ไมเคิลและมาร์ก รู้สึกว่า ‘พลังใจ’ ในการฝึกซ้อมและแข่งขันนั้นมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

กระทั่งหลายปีต่อมา ไมเคิลกลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์ปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ส่วนมาร์กทำงานด้านการลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ แม้จะเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานที่ดูจะมีอนาคตสดใส ทว่าความรู้สึกถึง ‘พลังใจ’ ที่เคยมีในวัยเรียนกลับค่อยๆ จางหายไป

ไม่ใช่แค่สภาพร่างกาย แต่ ‘แรงจูงใจในการออกกำลังกาย’ จากที่เคยมีในยามเป็นนักกีฬาก็หายไป เมื่อไม่ได้มีเพื่อนร่วมทีมคอยผลักดัน

แต่นั่นเอง ก็กลายเป็นจุดตั้งต้นของแนวคิดบางอย่างที่ทั้งคู่กำลังจะสร้างร่วมกัน

กำเนิด Strava

แม้เส้นทางในการทำงานของไมเคิลและมาร์กจะแยกจากกัน แต่ทั้งคู่มีโอกาสพบกันบ่อยครั้งที่ห้องทำงานของไมเคิล ที่นั่น พวกเขาได้แบ่งปันความฝันจากแนวคิดที่ว่า ‘จะเป็นอย่างไร ถ้ามีพื้นที่ออนไลน์ที่ช่วยให้นักกีฬารู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ใน ‘ห้องล็อกเกอร์’ ได้อีกครั้ง ได้แชร์ผลงาน พูดคุยเรื่องการซ้อม และสร้างแรงกระตุ้นร่วมกันได้ แม้จะซ้อมเพียงลำพัง’

ห้องล็อกเกอร์ที่ว่า เปรียบเสมือนพื้นที่ของ ‘ทีมนักกีฬา’ ที่ถูกใช้สำหรับการพูดคุยและสร้างแรงบันดาลใจจากการออกกำลังหรือเล่นกีฬา

ความคิดนี้ค่อยๆ ถูกต่อยอดมาสู่เรื่องของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเก็บบันทึกสถิติ แบ่งปันผลงาน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไอเดียเหล่านั้นเกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ที่เทคโนโลยียังไม่พร้อมรองรับแนวคิดดังกล่าว วิศวกรหลายคนเชื่อว่าไม่สามารถทำได้จริง ทั้งคู่จึงหันไปสู่เส้นทางใหม่ โดยร่วมกันก่อตั้ง Kana Communications บริษัทซอฟต์แวร์จัดการอีเมลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และสามารถนำเข้าตลาดหุ้น (IPO) ได้ในปี 1999

หลังจากนั้น โลกได้ก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ เทคโนโลยีเริ่มพัฒนาแบบก้าวกระโดด สมาร์ตโฟน ระบบ GPS และโซเชียลเน็ตเวิร์ก พัฒนาอย่างเต็มที่และมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ขณะที่ความฝันดั้งเดิมของไมเคิลและมาร์กยังไม่เคยจางหายไป

ล่วงเข้าสู่ปี 2009 ทั้งคู่ก่อตั้ง Strava โดยชื่อมาจากภาษาสวีเดน ‘Sträva’ ที่แปลว่า ‘ความพยายามและมุ่งมั่น’ อันมีเป้าหมายหลักในการสร้างพื้นที่ที่เชื่อมโยงนักกีฬา สร้างแรงจูงใจ ทำให้ทุกคนที่ออกกำลังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม

ขณะที่เทคโนโลยีพร้อม Strava จึงเป็นแอพพลิเคชั่นที่ผสมผสานการเก็บข้อมูลการออกกำลังกายเข้ากับโซเชียลมีเดีย เสมือนเป็น ‘ห้องล็อกเกอร์เสมือนจริง’ ที่ทุกคนมาอัพเดตความคืบหน้าในการออกกำลังกายและผลักดันกันให้มุ่งไปข้างหน้าได้

สำหรับทั้งไมเคิลและมาร์ก นี่ไม่ใช่แค่การก่อตั้งบริษัท แต่คือการสานต่อจิตวิญญาณของ ‘มิตรภาพ’ และ ‘ความเป็นทีม’ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีร่วมกันมาแต่วันวานให้กลับมาอีกครั้ง

การสร้างชุมชนกีฬาออนไลน์

Strava เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2009 อย่างที่เล่าไปว่า สองคู่หูไมเคิลและมาร์กตั้งใจจะทำให้มันเป็นมากกว่าแอพ ‘บันทึกการออกกำลังกาย’ แต่เป็น ‘โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับนักกีฬา’ ซึ่งต่างจากแอพฯ GPS ทั่วไปที่ทำได้เพียงบันทึกระยะทาง เวลา และความเร็ว พูดง่ายๆ คือ Strava ได้เพิ่ม ‘มิติทางสังคม’ เข้ามา ให้ผู้ใช้แอพฯ ได้แชร์กิจกรรม เปรียบเทียบสถิติ และสร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน

แรกสุด Strava เริ่มต้นจากกิจกรรมที่ไมเคิลและมาร์กคุ้นเคย นั่นคือการปั่นจักรยาน ที่สำคัญคือนักปั่นเป็นกลุ่มที่นิยมใช้อุปกรณ์ GPS อยู่แล้ว โดยเวอร์ชั่นแรกของ Strava เปิดให้ใช้งานบนเว็บไซต์ ซึ่งผู้ใช้สามารถอัพโหลดข้อมูลจากอุปกรณ์ GPS อย่าง Garmin เพื่อเก็บสถิติและแชร์ผลงานกับคนอื่นๆ ได้

สิ่งที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของทั้งไมเคิลและมาร์กคือ ในช่วงแรกพวกเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่า Strava จะได้รับความนิยมขนาดไหน จึงลงทุนจากเงินส่วนตัว แม้กระทั่งซื้ออุปกรณ์ GPS ของ Garmin ที่ลดราคาจากห้างค้าส่งอย่างคอสต์โก (Costco) ในราคา 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาแจกให้ผู้ใช้กลุ่มแรกๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงและคำติชมมาปรับปรุงแอพฯ เลยทีเดียว ซึ่งวิธีนี้ก็ช่วยสร้างคอมมิวนิตี้และดึงผู้ใช้กลุ่มแรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว

อีกหนึ่งความท้าทายช่วงแรกคือ การทำให้คนเข้าใจว่า Strava ไม่ได้เป็นเพียงแอพฯ บันทึกสถิติ แต่คือ ‘ชุมชนกีฬาออนไลน์’ ซึ่งจุดสำคัญที่ทำให้ Strava ได้รับเสียงตอบรับในแง่บวกคือฟีเจอร์ Segment และ Leaderboard ที่เปิดโอกาสให้นักปั่นได้เทียบเวลาในเส้นทางเดียวกันและสร้างตารางจัดอันดับอัตโนมัติ ทำให้เส้นทางปั่นที่อาจดูเหมือน ‘เดิมๆ’ ในชีวิตประจำวันกลายเป็นการแข่งขันที่สนุกและท้าทาย

ฟีเจอร์นี้เองทำให้ผู้ใช้งาน ‘ติด’ จนกลับมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความผูกพันสูง ทั้งยังอัพโหลดข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดการแนะนำกันปากต่อปากว่า นี่ไม่ใช่แค่แอพฯ บันทึกข้อมูล แต่คือคอมมิวนิตี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมเคิลและมาร์กต้องการ

เมื่อได้รับเสียงตอบรับดีจากกลุ่มนักปั่น Strava จึงเริ่มขยายไปสู่กลุ่มนักวิ่ง ทำให้ฐานผู้ใช้งานเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว

สู่การขยายฐานที่หลากหลาย

หลังจากเปิดตัวในกลุ่มนักปั่นและขยายฐานสู่กลุ่มนักวิ่ง Strava จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต้องพบกับจุดเปลี่ยนหลายครั้ง

หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนผ่านจากเว็บสู่มือถือ เนื่องจากช่วงแรก Strava ทำงานผ่านการอัพโหลดไฟล์จากอุปกรณ์ GPS มาที่เว็บ แต่เมื่อถึงยุคที่สมาร์ตโฟนเริ่มมี GPS ในตัว Strava จึงพัฒนาแอพฯ มือถือทั้ง iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้บันทึกกิจกรรมของตนเองได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมอีกต่อไป ซึ่งเป็นก้าวใหญ่ที่ทำให้ Strava เข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น

Strava ไม่เพียงเติบโตด้านตัวเลข แต่เริ่มสร้าง ‘วัฒนธรรมออนไลน์’ ของกลุ่มคนเล่นกีฬาขึ้นมา ขณะที่ฟีเจอร์ Segment และ Leaderboard ก็ได้รับความนิยมจนกลายเป็น ‘สนามแข่งออนไลน์’ ของนักวิ่งและนักปั่นทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้ปรากฏการณ์ network effect ที่ยิ่งมีคนใช้งานเยอะ ข้อมูลเส้นทางก็ยิ่งมีความสนุกและสร้างแรงจูงใจมากขึ้น

ที่สำคัญคือ การเติบโตของ Strava ทำให้ฐานคนเล่นกีฬาขยายไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนักปั่นและนักวิ่ง เช่น ว่ายน้ำ ปีนเขา เดินป่า หรือสกี และไม่ใช่แค่คนที่เล่นกีฬามานาน แต่คนที่เพิ่งเริ่มต้นเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกลางแจ้งก็เริ่มมาใช้งานด้วย ซึ่งทำให้คอมมิวนิตี้ของผู้ใช้งานหลากหลายมากกว่าเดิม

เมื่อเติบโตขึ้น โมเดลธุรกิจของ Strava ที่แรกเริ่มฟีเจอร์เกือบทั้งหมดนั้น ‘ฟรี’ และให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน โดยรายได้หลักมาจากสมาชิกพรีเมียมเพียงเล็กน้อย ก็เริ่มมีการเพิ่ม Premium สำหรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การวิเคราะห์เชิงลึกของการซ้อม, การดู Leaderboard เต็มรูปแบบ, การสร้างเส้นทาง 3D, การตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์หรือรายเดือน และโค้ช AI ส่วนตัว

แม้มีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้งานพอสมควรในการปรับเปลี่ยน แต่ท้ายที่สุดมันก็คือ ‘ทางรอด’ ที่ทำให้ Strava สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และมีเงินลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

และนั่นก็ทำให้ Strava ที่เริ่มจากสตาร์อัพเล็กๆ กลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่มีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก

เทคโนโลยีที่เติบโตพร้อมคอมมิวนิตี้

กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาที่สมาร์ตโฟนเริ่มแพร่หลาย การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของ Strava ก็เติบโตขึ้นไปพร้อมกับการสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญที่ถูกพัฒนาขึ้น และนับได้ว่าเป็นฟีเจอร์สำคัญของ Strava คือ Route Builder และ Heatmap

Route Builder เปิดตัวครั้งแรกปี 2015 บนเว็บไซต์ก่อนถูกนำเข้าสู่แอพฯ มือถือในภาพหลัง โดยฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือสร้างเส้นทางที่นำข้อมูลจากกิจกรรมออกกำลังกายนับพันล้านครั้งของผู้ใช้ Strava มาวิเคราะห์ว่า เส้นทางไหนได้รับความนิยม ปลอดภัย และเหมาะกับกิจกรรมแต่ละประเภท เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง เดินป่า ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเดาเองว่าควรวิ่งหรือปั่นตรงไหน แต่ได้เส้นทางที่มีข้อมูลจากคอมมิวนิตี้คอยแนะนำ

ส่วนฟีเจอร์ Heatmap เปิดตัวในปี 2017 โดยเป็นฟีเจอร์ที่ใช้ข้อมูลกิจกรรมจากผู้ใช้นับพันล้านครั้ง เพื่อสร้างแผนที่ที่บอกว่า ถนน/เส้นทางไหนถูกใช้บ่อยที่สุด ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบหลักๆ คือ Personal Heatmap ที่แสดงเส้นทางทั้งหมดที่ผู้ใช้คนนั้นเคยทำกิจกรรม และ Global Heatmap ที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้ทั่วโลก แล้วทำให้เห็นเส้นทางยอดนิยม เช่น เส้นทางจักรยานยอดฮิตในโตเกียว, เส้นทางวิ่งยอดนิยมในนิวยอร์ก

อย่างไรก็ดี แม้การพัฒนา Route Builder และ Heatmap จะทำให้ได้ข้อมูลจากการออกกำลังกายนับพันล้านครั้งเพื่อให้ผู้ใช้วางเส้นทางได้แม่นยำและปลอดภัยขึ้น และถูกนำไปต่อยอดใช้เพื่อวางผังเมืองและเส้นทางจักรยานสาธารณะ แต่ในปี 2018 ก็มีเหตุการณ์สำคัญหนึ่งเกิดขึ้น คือฟีเจอร์ Heatmap ดันไปเผยเส้นทางวิ่งของทหารสหรัฐฯ ในฐานทัพลับ ทำให้เกิดข้อถกเถียงจน Strava ต้องพัฒนา Privacy Zones และระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันข้อมูลที่อ่อนไหว

กระทั่งเข้าสู่ยุค 2020 เป็นต้นมา Strava จึงเริ่มนำ AI เข้ามาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง การใช้ machine learning เพื่อสร้างคำแนะนำเฉพาะบุคคล เช่น เส้นทางแนะนำ และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ, เปิด API สำหรับนักพัฒนาภายนอกสร้างแอพฯ หรือบริการเสริมบน Strava, เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น แผนที่ 3D, การแนะนำเส้นทางด้วย AI และ Group Activities, รองรับกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เช่น โยคะ เวทเทรนนิ่ง กิจกรรมฟิตเนสในร่ม และกีฬาเพื่อผู้พิการ จนปัจจุบัน Strava สามารถเชื่อมต่อได้กว่า 100 อุปกรณ์และแอพฯ เช่น Garmin, Fitbit, Apple Watch, Peloton, Zwift, Wahoo เป็นต้น

กล่าวได้ว่า ความโดดเด่นของเทคโนโลยีที่ Strava พัฒนาคือการ ‘เปลี่ยน’ ตัวเลขจาก GPS ให้กลายเป็นเรื่องราว แรงบันดาลใจ และการแข่งขัน ขณะที่นวัตกรรมก็ขับเคลื่อนผู้ใช้งานได้จริง เพราะฟีเจอร์หลายตัวก็ล้วนเพิ่มเติมจากฟีดแบ็กของคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานเหล่านี้ นอกจากนี้ข้อมูล big data ของ Strava ยังส่งผลกระทบต่อ ‘สังคมเมือง’ อย่างการช่วยวางแผนผังเมืองและโครงสร้างพื้นฐานการขี่จักรยานทั่วโลกอีกด้วย

ชุมชนที่เป็นหัวใจสำคัญ

สองผู้ก่อตั้ง Strava อย่างไมเคิลและมาร์กมีแนวคิดที่ชัดเจนว่า ต้องการสร้างธุรกิจระยะยาวและสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน ดังนั้น หัวใจสำคัญของ Strava คือ การสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ใช้งานที่หลากหลายทั่วโลก

Strava ใช้แนวคิดเหมือนโซเชียลมีเดีย เพียงแต่เฉพาะกลุ่มของนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย โดยผู้ใช้งานสามารถโพสต์กิจกรรมของตัวเอง แชร์ภาพ เส้นทาง และสถิติ รวมถึงสามารถกด kudos ที่เหมือนการกดไลก์หรือคอมเมนต์ให้กำลังใจได้ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเล็กๆ ที่สร้างแรงจูงใจทางจิตวิทยาให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าการออกกำลังกายของตนเองมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ

ขณะที่ Strava ก็มีฟีเจอร์อย่าง Clubs หรือคลับออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมได้ คลับบางแห่งเป็นสาธารณะ เช่น กลุ่มนักวิ่งเมืองใหญ่ หรือกลุ่มนักปั่นเสือภูเขา ส่วนคลับบางแห่งก็เป็นกลุ่มเฉพาะกิจ เช่น การซ้อม 10K หรือการวิ่งเทรล ซึ่งแน่นอนว่าการได้เข้าร่วมคลับเหล่านี้ตอบสนองความรู้สึก ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ของชุมชนให้กับผู้ใช้งานได้ ทั้งยังส่งผลต่อแรงจูงใจ แรงกระตุ้น และความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายอีกด้วย

ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Strava กว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แต่ความเจ๋งก็คือ แม้ Strava จะเป็นคอมมิวนิตี้ใหญ่ระดับโลก แต่ก็ยังให้ความรู้สึก ‘เป็นส่วนตัว’ เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ใช้งานได้เชื่อมต่อกับสังคม ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานได้เชื่อมต่อกับตัวเองอีกด้วย

ผู้ใช้งาน Strava มีหลากหลายรูปแบบ และไม่ใช่ทุกคนที่สนใจอยากเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานคนอื่น แต่ต้องการเชื่อมต่อกับตนเอง และหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้ Strava แตกต่างคือ สามารถบันทึกกิจกรรมออฟไลน์ได้ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานกลุ่มนี้

Strava สามารถบันทึกกิจกรรมออฟไลน์ได้ เช่น วิ่ง, ปั่น หรือเดิน โดยข้อมูล เช่น ระยะทาง เวลา หรือ pace จะถูกเก็บไว้ในแอพฯ ก่อนอัพโหลดไปยัง Cloud เมื่อมีอินเทอร์เน็ต ฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพึ่งคนอื่นหรืออินเทอร์เน็ตเพื่อบันทึกกิจกรรม ทำให้การซ้อมเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ ที่ลึกซึ้งต่อเป้าหมายตนเอง เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็น ‘รูปแบบ’ การซ้อมและพัฒนาการของตัวเอง เสมือนเป็นการวิเคราะห์และเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนทั้งร่างกายและความมุ่งมั่น

และการมองเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ก็ช่วยให้ผู้ใช้งานสะท้อนผลลัพธ์ของความพยายาม และรู้สึกภูมิใจในทุกก้าว เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและการพัฒนาตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีแรงกดดันจากโซเชียล

นั่นคือการปรับ ‘สมดุล’ ระหว่างความเป็นส่วนตัวและชุมชน ที่ Strava สามารถมอบให้ผู้ใช้งานเลือกเองได้

มากกว่าแอพฯ ออกกำลังกาย

การเติบโตจนกลายเป็นแพลตฟอร์มระดับโลก มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่และหลากหลาย ทำให้ Strava ต้องรักษาสมดุลระหว่างการใช้งาน ‘ฟรี’ กับ ‘พรีเมียม’ ให้ดี ขณะที่ต้องสร้างฟีเจอร์เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ไปจนถึงรักษาความเป็นคอมมิวนิตี้อันเป็นหัวใจสำคัญให้ได้

ดังนั้นโจทย์ในอนาคตของ Strava ย่อมไม่ใช่แค่การเติบโตในตัวเลขผู้ใช้งาน แต่เป็นการเป็นแพลตฟอร์ม ‘ครบวงจร’ สำหรับนักกีฬา โดย Strava ตั้งเป้าที่จะขยายกลุ่มผู้ใช้งานไปทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรปตะวันออก นั่นทำให้ต้องพัฒนาอินเทอร์เฟซหลายภาษา และฟีเจอร์ที่เหมาะกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เส้นทางวิ่งในเมืองใหญ่ หรือชาเลนจ์ที่สอดคล้องกับเทศกาลกีฬาต่างๆ

ขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ก็สำคัญ ซึ่ง Strava มีแผนจะพัฒนาไปสู่การโค้ชแบบเฉพาะบุคคล โดยใช้โมเดล AI ขนาดใหญ่ (LLM) ที่สามารถติดตามและให้คำแนะนำในระยะยาว ไม่ใช่แค่สรุปข้อมูล 30 วันล่าสุด เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการฝึกซ้อมและเสนอแผนซ้อมปรับตามสภาพร่างกายและเป้าหมายของแต่ละคน สอดคล้องกับการซื้อกิจการ Runna แอพฯ โค้ชวิ่งที่ใช้ AI เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการวางแผนซ้อมในอนาคต และการซื้อกิจการ The Breakaway แอพฯ โค้ชปั่นจักรยานที่ใช้ AI เช่นกัน ทำให้ Strava มี ‘โค้ชดิจิทัล’ ครบทั้งสายวิ่งและปั่น

การเคลื่อนไหวทางธุรกิจเหล่านี้ช่วยให้มูลค่า Strava พุ่งขึ้นถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ (จาก 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020) เลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Strava ต้องการเป็นมากกว่าแอพฯ ออกกำลังกาย แต่เป็นแพลตฟอร์มที่รวมเทคโนโลยี, ชุมชน, และข้อมูลขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนนักกีฬาและผู้รักกิจกรรมแอ็กทีฟในทุกระดับ

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ พร้อมความฝันที่ไม่เคยจางหายของสองเพื่อนรักอดีตนักพายเรือมหาวิทยาลัย สู่การสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนรักกีฬาได้มารวมตัวเพื่อพัฒนาตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจที่ส่งต่อกันไป จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้ระดับโลกในปัจจุบัน

ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ถึงแนวคิดการสร้างธุรกิจว่า ไม่ได้อยากแค่ทำสตาร์ทอัพ แต่ต้องการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนเพื่อให้คงอยู่และส่งต่อรุ่นสู่รุ่น โดยมีใจความว่า

“เป้าหมายของเราคือการสร้างสิ่งที่ไม่เพียงแค่ทันสมัยชั่วคราว แต่เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของผู้คน และอยู่กับพวกเขาไปตลอดการเดินทางแห่งการออกกำลังกาย”

อ้างอิงข้อมูล :

insider.fitt.co/137-michael-horvath-ceo-co-founder-of-strava

press.strava.com/articles/strava-enhances-subscriber-experience-with-updates-to-key-features

thetimes.com/article/stravas-valuation-boosted-to-22bn-after-acquisition-of-runna-ztldcsht5?utm

techcrunch.com/2024/06/25/strava-ai-athlete-intelligence

bbc.com/news/technology-42853072

strava.com/features

forbes.com/sites/alexkonrad/2019/09/24/strava-founding-story

inc.com/magazine/201905/michael-horvath-mark-gainey-strava.html

outsideonline.com/fitness/strava-future/

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Capital

บทบาทใหม่ของ ‘ครูก้า’ จากครูอักษรฯ สู่นักธุรกิจฝึกหัด และฝันที่ไม่กล้าฝันแต่กลายเป็นจริง

1 วันที่แล้ว

Little Owly's Cafe คาเฟ่จากรักของแม่ที่ดีไซน์เพื่อลูกน้อยได้เล่นสนุกไปกับธรรมชาติ

22 ส.ค. เวลา 10.38 น.

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

V AT DODGERS STADIUM โมเมนต์ขว้างบอลลูกแรกการแข่งขันเบสบอลของ Los Angeles Dodgers

THE STANDARD

สุกี้ตี๋น้อยไม่น้อยหน้า เปิดร้านใหม่ Teenoi Gold ยกระดับสุกี้ติดดาว ผนึกกำลังเชฟฮ่องกง 30 ส.ค. นี้

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

นักวิ่งเทรลล์ บังเอิญเจอ สุภาพบุรุษโบว์หูกระต่าย ท่านนี้ นั่งอ้วงอยู่ริมทาง ถ่ายรูปมาอวด เพิ่งรู้ว่าเป็นลูกคุณหนู

CatDumb

คมมีดเฉือนอนาคต ฝันร้ายของ ‘โมนิกา เซเลส’ เมื่อเทนนิสที่รักมอบโศกนาฏกรรมขณะแข่ง

The MATTER

วิธีทำหมูกรอบ พร้อมเคล็ดลับความอร่อย กรอบนาน เลือกทำได้ตามใจชอบ

sanook.com

5 ประเทศปลอดภัยที่สุดในโลก ปี 2025 คนใช้ชีวิตแบบใด ท่วมกลางโลกขัดแย้ง

Amarin TV

เกาหลีใต้เอาด้วย ลองทำงาน 4.5 วันต่อสัปดาห์ เขย่าวัฒนธรรมงานหนัก

กรุงเทพธุรกิจ

เกลียดวันจันทร์ ชวนสำรวจสุขภาพใจ รับมือ Monday Blues ใจฟูสู้วันจันทร์

Amarin TV

ข่าวและบทความยอดนิยม

88 ปีของ Saab ผู้สร้างเครื่องบินรบ Gripen เครื่องบินรบที่ไทยนำออกมาใช้ปฏิบัติการจริงครั้งแรกของโลก

Capital

UVU แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายมาแรงที่ออกแบบด้วยจิตวิญญาณของอดีตทหารอากาศ

Capital

เบื้องหลัง Tesla ที่ ‘อีลอน มัสก์’ ไม่ได้ก่อตั้ง แต่เข้ามาปฏิวัติให้บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าทะยานสู่ภาพฝันระดับโลก

Capital
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...