บทบาทใหม่ของ ‘ครูก้า’ จากครูอักษรฯ สู่นักธุรกิจฝึกหัด และฝันที่ไม่กล้าฝันแต่กลายเป็นจริง
รายการไกลบ้าน คือรายการเรือธงของช่อง FAROSE Studio ที่พาช่องแจ้งเกิดในฐานะผู้เปลี่ยนภาพจำของรายการประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยว ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ทั้งสนุก เข้าถึงง่าย และเต็มไปด้วยมุมมองใหม่
แต่นอกจากไกลบ้านจะทำให้ชื่อของ FAROSE เป็นที่รู้จัก ยังกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดให้ ‘ดาราช่อง’ หลายคน หนึ่งในนั้นคือ ‘ครูก้า’ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อจริงว่า ‘ผศ.สรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์’ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอิตาเลียน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ครูก้าเป็นที่จดจำจากตอน ‘ไกลบ้าน EP27 เมืองน่ารัก ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก (Siena, Italy)’ ด้วยภาษาท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง และลีลาการเล่าเรื่องที่เป็นธรรมชาติแต่เปี่ยมชีวิต จนกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่แฟนรายการหรือที่เรียกกันว่า ‘ชาวช่อง’ พูดถึงเสมอ
แต่เบื้องหลังความมีชีวิตชีวานั้น มีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ ตั้งแต่การเลือกเรียนเอกอิตาเลียนทั้งที่ไม่รู้จักภาษานี้มาก่อน การเป็นอาจารย์ที่รักเด็กแต่ไม่ยึดติดกับระบบ ไปจนถึงการตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูในวัย 50 ปี เพื่อมาสอนภาษา จัดทัวร์ เปิดบริษัท กระทั่งใช้ชีวิตในแบบที่ครูเรียกว่า ‘บาลานซ์’
ในพจนานุกรมของครู ความรวยไม่ได้หมายถึงความอู้ฟู่ แต่เป็นคำว่ารวยพอให้ได้ใช้ชีวิต รวยพอให้ลูกศิษย์เห็นว่าการเรียนภาษา โดยเฉพาะภาษาอิตาเลียนที่คนเรียนน้อยนั้นมีทางไปเสมอ
“ครูต้องรอด ไม่รอดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์จะรู้สึกยังไง”
ในวันที่ชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง นำพาให้ครูก้าผู้ผูกพันกับคณะอักษรศาสตร์ต้องหาหมุดหมายใหม่ ครูก้าเน้นย้ำเสมอว่าที่ผ่านมาได้เพราะ “ครูโชคดี”
ในฐานะนิสิตคนหนึ่งที่ได้พบครูก้าตั้งแต่ยังเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย การได้เห็นบทบาทใหม่ของครูในวันนี้ ที่เพิ่งเปิดบริษัท Busca the Prof. จึงน่าสนใจเกินกว่าจะปล่อยผ่าน เราเลยขอชวนครูก้ามานั่งสนทนากันอย่างจริงจัง ถึงวัยที่หลายคนอาจมองว่าสายเกินไป ไปจนถึงการเป็นนักเรียนฝึกหัดในเรื่องธุรกิจ
ด้วยใจที่เชื่อมั่นว่าไม่ใช่ความโชคดีอย่างเดียวแบบที่ครูบอกหรอก แต่ในทุกช่วงชีวิต แม้ไม่ได้มีความกล้ามากนัก เราก็ต้องกล้าพอที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง
และนี่คือละครแห่งชีวิตที่ประกอบด้วย 3 องก์ โดยมีครูก้าเป็นผู้แสดงนำ
ทุกท่านกรุณานั่งประจำที่
องก์ที่ 1
Busca the Language Seeker
ครูก้ารู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนว่าชอบภาษา
ครูรู้ว่าเรียนภาษาได้ตอนอยู่ ม.2 ครูเรียนภาษาได้ทุกภาษาเลย ภาษาไทยดี ภาษาอังกฤษดี ภาษาฝรั่งเศสดี เพราะงั้นมันชัดเจนมากว่าครูต้องเข้าอักษรฯ จุฬาฯ
ตอนเข้ามหาวิทยาลัยมันเลือกได้หกอันดับใช่ไหม แต่ครูเลือกแค่ห้าอันดับ เพราะว่าอันดับที่หก ครูเลือกอะไรไม่ถูกแล้ว เพราะว่าครูเรียนได้แต่ภาษาอย่างเดียวไง ก็เลยเลือกอักษรฯ จุฬาฯ, นิเทศฯ จุฬาฯ, ศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์, อักษรฯ ศิลปากร, แล้วก็ฝรั่งเศส เชียงใหม่
แค่นั้นเลย ห้าอันดับ
ตอนนั้นมีภาษาอิตาเลียนอยู่ในใจหรือยัง
ไม่มีเลย ไม่มีอิตาเลียนเลย ครูเข้ามาอักษรฯ ด้วยความคิดเพียงแค่ว่าถ้าเก่งภาษาต้องเรียนอักษรฯ จุฬาฯ ตอนนั้นรู้เท่านี้จริงๆ
พอเข้ามาก็เรียนฝรั่งเศสต่อ แต่คราวนี้อักษรฯ มันจะรวมคนเก่งมาหมดทั้งประเทศไง พอเจออย่างนี้เข้าไป สะบักสะบอมมาก ตอนนั้นคิดเลยว่า ไม่ได้การละ ต้องคิดใหม่ทำใหม่แล้วเรา
ช่วงนั้นเองที่เดินๆ อยู่ในคณะ ก็เจอป้าย ‘สาขาวิชาอิตาเลียน’ ซึ่งคืออะไร ภาษาอิตาเลียนคืออะไร แต่สิ่งที่ทำให้สนใจคือมันเป็นภาษาที่ให้โอกาสคนที่ไม่ต้องมีพื้นมาก่อน เลยเข้าไปลองเรียน แล้วเรียนอย่างตั้งใจมากนะ คะแนนออกมาก็ไม่ขี้เหร่ เหมือนมิดเทอมจะท็อปด้วยนะ ตอนนั้นรู้สึกว่าความพ่ายแพ้ย่อยยับในเทอมหนึ่งได้หายไปหมดแล้ว (หัวเราะ) นี่แหละคือที่ที่บูสต์อีโก้ให้เราเลย
พอเข้ามาเป็นเด็กเอกอิตาเลียนเต็มตัว ก็เริ่มเห็นหนทางในชีวิตว่า จบแล้วเราก็คงได้ไปทุน ไม่ใช่เพราะเก่งอะไรหรอกนะ แต่ทุนเขามี 2 ทุนแล้วมีเด็กเอกอยู่ 2 คน (หัวเราะ) จากนั้น เราก็จะได้เป็นไกด์อย่างที่เราใฝ่ฝัน เพราะนักท่องเที่ยวอิตาเลียนเยอะ ในขณะที่มีคนรู้ภาษาอิตาเลียนน้อยมาก ชีวิตช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้
จากนั้นก็เลยตั้งใจเรียนมาก ทุ่มกายถวายหัว เทหมดหน้าตัก อาจารย์ก็สนับสนุนเรา เลยคิดว่านี่แหละคือทางเดินใหม่ของฉัน คือจุดขายของฉัน
ตอนไหนที่ชอบภาษาอิตาเลียน
ถ้ามีใครถาม ครูยังตอบได้เลยนะว่าภาษาที่ครูรักที่สุดคือฝรั่งเศส ส่วนอิตาเลียนเนี่ย เรียนเพราะว่าสนุก มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ว่านี่แหละการเรียนภาษาแบบที่ไม่ต้องรักมากก็ได้ ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ยากก็ว่ายาก ง่ายก็ว่าง่าย มันเรียนได้โดยที่ไม่ต้องรัก มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น
องก์ที่ 2
Busca the Beloved Teacher
เห็นภาพตัวเองตอนไหนว่าจบมาจะต้องเป็นอาจารย์ที่คณะอักษรฯ
จริงๆ ครูอยากเป็นไกด์มาตลอด ตอนอยู่ปีสามก็ฝึกงานเป็นไก แต่พอต้องเลือกจริงๆ ก็ดันรู้สึกว่าเสียดายเส้นทางในคณะ ตอนนั้นเนิร์ดมากเรารู้สึกว่าเราเรียนไพรเวตมากๆ เลยในคณะนี้ห้องสมุดทุกอย่างมันเป็นของเรา อาจารย์ก็สอนตัวต่อตัว ระหว่างนั้นก็ได้ติวให้น้องๆ ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าอยากเป็นอาจารย์
แล้ววันหนึ่ง อาจารย์ก็โทรมาชวนว่าอยากเป็นอาจารย์พิเศษไหม ตอนนั้นครูลงไปกองกับพื้นเลยนะโทรศัพท์ตก (หัวเราะ) แล้วก็ตอบว่าอยากเป็นค่ะ เลยกลับไปเป็นอาจารย์พิเศษ เดือนหนึ่งสอนแค่ 4 ครั้ง แต่ทุ่มกายถวายหัวมาก ไม่รับงานไกด์เลย โชคดีที่ตอนเป็นไกด์เงินดี ก็เลยมีเงินสะสมอยู่
ความสุขของการได้สอนคืออะไร
ครูไม่ชอบตัดเกรด ตอนเรียนหนังสือเองต้องไปรับเกรดที่เคาน์เตอร์อาจารย์ ครูไม่รับเกรดเลยจนจบสี่ปี ก็ไม่รู้เกรดตัวเองแม้แต่เทอมเดียว เพราะครูแอนตี้ระบบเกรดเบาๆ ครูเรียนเพราะว่าอยากเรียน ครูไม่ให้ใครมาตัดสินครูว่าฉัน A หรือฉัน B ฉันไม่รู้ ฉันอยากเรียนเฉยๆ พอถึงวันนึงต้องตัดเกรดเด็ก ต้องมาตัดสินด้วยดินสอแท่งเดียวก็อึดอัดเล็กน้อย
ดังนั้นความสุขของการได้สอนก็คือเด็กๆ หรือลูกศิษย์ เด็กอย่างเดียวที่เอาครูไว้อยู่ เพราะเราสายเอนฯ ขอย้ำว่าสายเอนฯ ครูชอบไปค่าย ชอบทำกิจกรรมกับเด็ก ชอบอยู่งานรับน้องกับเด็ก ชอบบายเนียร์ ครูรักเด็กอักษรฯ มากจริงๆ ดูแล้วก็เข้าใจ เชื่อว่าตัวเองเข้าใจเด็กอักษรฯ ก็อยู่ในคณะมาอย่างเอนจอยมาตลอดเลย
เป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกเป็นครูมากว่า 30 ปี ไม่ได้ไปเป็นไกด์ตามความฝันใช่ไหม
ครูคิดแบบนี้
ถ้าครูเป็นไกด์ ครูจะบอกความสวยงามของประเทศไทยให้กับลูกทัวร์ต่างชาติได้หลักพันคนต่อปี แต่ถ้าครูเป็นครู ครูจะสอนให้คนเป็นไกด์ได้เป็นหมื่นๆ คน แล้วไกด์พวกนั้นเขาก็จะขยายต่อไปอีก
เท่ากับว่าถ้าเป็นครูเราก็จะแผ่ขยายความรู้อิตาเลียน ให้เขาได้บอกความสวยงามของประเทศไทยออกไปได้มากกว่าเยอะเลย
ทั้งที่รักการสอน อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจลาออก
อย่างที่บอกไปว่าครูไม่ได้มีความรักในวิชาชีพ ไม่ได้มีความอยากเป็นศาสตราจารย์ ครูอยู่เพราะรักเด็ก แต่พอวันหนึ่งมันเหมือนเชือกที่มัดครูไว้ในคณะมันคลาย ครูก็เริ่มมองคณะอย่างจริงจังขึ้นว่าเอ๊ะ เราอยู่เพราะอะไร
ตอนอายุ 40 มหาวิทยาลัยประกาศว่าจุฬาฯ จะเป็นมหาลัยนอกระบบเพราะฉะนั้นจะไม่มีข้าราชการอีกต่อไป ทุกคนจะกลายเป็นพนักงานที่ต้องเซ็นสัญญาทุก 10 ปี ครูรู้เลยนะว่าตอนอายุ 50 ถ้าไม่ทำผลงาน เราต้องออกแน่ๆ
ครูก็อยู่โดยทำผลงานของ ผศ. (ผู้ช่วยศาสตราจารย์) ไปนะ แต่พอถึง รศ. (รองศาสตราจารย์) ปุ๊บ ครูไม่ทำแล้ว ครูก็เลยตัดสินใจว่างั้นออกตอนอายุ 50 เลยละกัน เพราะครูก็ถามตัวเองว่าเราอยากจะเป็นครูไปจนตายเลยไหม มันก็ไม่
แล้วเราก็รักมหาวิทยาลัยนะ อยากให้มหา’ลัยเจริญ เราก็เลยออกมา
พอคิดว่าจะออกจริงๆ รู้สึกกลัวไหม เพราะครูอยู่ในระบบนี้มากว่า 30 ปี
กลัวสิ กลัวเหมือนกันแต่คิดบนพื้นฐานว่าครูต้องไม่ตายแน่ๆ และฉันต้องตายไม่ได้ด้วย เพราะฉันเอกอิตาเลียน ถ้าฉันตาย หมายความว่าเด็กๆ จะหมดกำลังใจ ลูกศิษย์จะรู้สึกว่าเรียนอิตาเลียน ถ้าไม่เป็นครูแล้วต้องตายแน่ๆ
องก์ที่ 3
Busca the Learning Entrepreneur
ถ้าต้องไม่ตาย แล้วจะทำยังไงให้อยู่ได้
เราก็เริ่มศึกษานะว่าถ้าฉันไม่เป็นอาจารย์ ฉันจะทำอะไรให้กับสังคมและตัวฉันได้บ้าง
พอดีช่วงที่ยังทำงานในมหาวิทยาลัย โชคดีที่ครูได้สอนภาษาให้บุคคลภายนอกที่มาลงเรียนในคณะด้วย ตอนนั้นมีเด็กคนหนึ่งเขาบอกว่าวันนี้หนูมาเรียนไม่ได้นะคะ แต่หนูอยากเรียนมากเลย หนูขออัดเทปไว้ได้ไหมคะ ครูก็บอกว่าเอาสิ แต่ครูทำไม่เป็นนะ หนูตั้งเครื่องกันเอง ตกลงกับเพื่อนเอาแล้วกัน เขาก็อัดวิดีโอไว้ แล้วโพสต์ลง ตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคโควิดเลยนะ แต่มันทำให้ครูคิดว่ามันก็ไม่เลวนะ เลยเริ่มตั้งกล้องเอง แล้วอัพโหลดวิดีโอสอนไปเรื่อยๆ
พอลาออกจากคณะ มันก็เป็นช่วงที่ครูมาเปิดสอนภาษาตอนเย็นแบบออนไลน์ ตอนแรกก็คิดว่ามีคนเรียนสักหกคนก็พอแล้ว แต่ปรากฏว่าคนมาเยอะมาก เยอะถึงขั้น 50 คน ซึ่งตอนนั้นมันยังเป็นช่วงก่อนจะไปออกรายการฟาโรสด้วยซ้ำ
ประกอบกับพอมีโควิด-19 ชาวจุฬาฯ ก็มีกลุ่มจุฬาฯ มาร์เก็ตเพลส ที่คนมาขายของกัน คนอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรกันไง ครูก็เลยเปิดสอนออนไลน์ คนก็มาลงเรียนกันใหญ่ แล้วเพื่อนในเฟซครูก็เต็ม 5,000 คน ครูก็เลยต้องเปิดเพจ ‘ครูก้า’
แต่พอโควิดจบ คนก็เริ่มลดไปเรื่อยๆ นะ แต่ก็เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก แต่เบื้องบนก็ได้ประทานฟาโรสมาให้
ภาพ : Facebook ครูก้า
รู้มาก่อนไหมว่าฟาโรสมีชื่อเสียง
ตอนแรกครูก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟาโรสดังนะ นึกว่าถ่ายเล่นๆ กันในหมู่อักษรฯ คิดแค่ว่าเราย้ายจากนั่งดูบายเนียร์มาเป็นคนนั่งหน้าเวทีเท่านั้น ครูก็บอกว่าฟาโรสนะว่าถ้าฉันรู้แบบนี้ ฉันไม่มาออก (หัวเราะ)
แต่การออกรายการครั้งนั้นมันก็ดีกับครู เด็กก็มาอีกระลอกเลย แล้วบังเอิญว่าที่อิตาลีเขามีกฎหมายใหม่คือผู้หญิงไทยที่จะขอสัญชาติอิตาลี แต่งงานอย่างเดียวไม่พอ ต้องสอบให้ผ่านด้วย ผู้หญิงไทยที่อยู่ที่นู่นหลายคนพูดได้ แต่สอบข้อเขียนไม่ผ่านเลยต้องหาอาจารย์กันจ้าละหวั่น สุดท้ายก็มาหาครู ครูก็เลยเปิดสอนออนไลน์จากไทย ตอนเย็นที่ไทยคือบ่ายโมงที่โน่น ตรงกับเวลาว่างของเขาเป๊ะ
บางครั้งก็รู้สึกขอบคุณเบื้องบน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็รู้สึกว่าเทพคุ้มครองฉันดี๊ดี แต่ละจังหวะในชีวิต มันดีไปหมดเลย เพราะจริงๆ ตอนที่ครูไปบอกคณบดีว่าครูจะออกแล้วนะ คณบดีเงียบไปเลย แล้วก็บอกว่าดีแล้ว บุสก้าออกตอนนี้กำลังดี มีบารมีแล้ว เป็นที่รู้จักแล้ว ถ้าออกตอนอายุ 50 ยังมีเรี่ยวแรง ยังมีลูกศิษย์ที่ตามหาได้อยู่
ฟังดูเหมือนความฝันตอนเด็กของครูก้าเลย
ใช่เลย ความฝันตอนเป็นอาจารย์ใหม่ๆ เนี่ย ถ้าใครมาถามครูว่าฝันอยากเป็นอะไร ครูจะบอกว่าครูอยากสอนภาษาอิตาเลียนให้กับคนเยอะๆ ซึ่งตอนนั้นฝันแค่ว่า ถ้าได้สอนเด็กอักษรฯ ห้าคนสิบคนก็ถือว่าเยอะแล้วแต่ตอนนี้มันเยอะกว่าที่คิดไว้มาก
เคสแรกที่ทำให้ครูรู้สึกจิตใจพองฟู คือเด็กที่ระยองเขาบอกว่าถ้าครูไม่เปิด หนูไม่มีทางได้เรียนภาษาอิตาเลียนเลยนะคะ แล้วก็ค่อยๆ ลามไปเรื่อยๆ จากระยองไปภูเก็ต ไปมิลาน ไปโรม
จากสอนภาษา ทำไมได้กลับมาเป็นไกด์ทัวร์อีกรอบ
ช่วงปี 2014 เพื่อนกลุ่มหนึ่งของครูบอกว่าบุสก้าพาไปเที่ยวอิตาลีหน่อยสิ เขามีเวลา 15 วัน เราก็พาไป พาไปที่ที่เคยไปมาแล้วหมดเลย ตอนนั้นยังไม่คิดอะไร อยากโชว์ อยากอวดว่าประเทศนี้เมืองนี้มันดีอย่างไร แต่พอไปจริงๆ มันเหนื่อยไง แล้วค่าเครื่องบินครูก็ต้องออกเอง มันก็เลยเกิดคำถามว่า “ทำไมฉันต้องเหนื่อยขนาดนี้ โดยไม่ได้อะไรเลย?”
ก็เลยคิดว่าถ้าจะเหนื่อยขนาดนี้ เอาเงินดีกว่า ปีถัดไปเลยลองจัดทัวร์ครั้งแรก เส้นทางเดิมแต่เก็บตังค์ เหนื่อยเท่าเดิม แต่ได้เงิน จนเปิด 2-3 รุ่น เป็นที่มาของ must-see tour คือทัวร์เพียวๆ 8-10 วันที่อิตาลี เหมือนวิชาอิตาลี 101
เป็นที่มาที่ทำให้ครูต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเลยหรือเปล่า
จุดนั้นคือทัวร์ใหญ่มันมีเงินเข้าเยอะมาก แล้วมันเข้ามาในชื่อครูหมดเลย ทั้งที่มันต้องเอาไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ากินอยู่ อีกอย่างคือเวลาติดต่อฝั่งอิตาลี ในฐานะบริษัทมันดูดีกว่าด้วย ก็เลยจดบริษัท ทำบัญชีจริงจัง แล้วครูก็มานั่งลิสต์เลยว่าครูทำอะไรได้บ้าง สอนได้ ล่ามได้แต่ไม่ชอบ เป็นไกด์ได้ จากสอนหนังสืออย่างเดียวก็เลยมาเน้นทัวร์มากขึ้น
ตอนนี้ นอกจาก must-see tour ก็มีวันเดย์ทริปในอิตาลี เช่น พาเที่ยวเซียน่า, โบโลญญา สำหรับคนที่อยู่ที่นู่นอยู่แล้ว และยังมีทัวร์เรียนภาษา 1 เดือนที่อิตาลี โดยที่ครูไม่ต้องไปอยู่ด้วยก็ได้ แค่ไปประสานงานกับโรงเรียนให้ ครูเรียกมันว่าเรียนแก้เก้อ เช้าเรียน บ่ายว่าง ไม่มีผลสอบ ไม่มีความกดดัน เหมาะกับคนอยากไปอยู่นานๆ ลางานได้ ซึ่งก็มีเด็กไปแล้วจริงๆ เป็นลูกศิษย์ครูที่เหมือนเบื้องบนประทานมา
ราคาก็สมเหตุสมผลมาก ประมาณ 200,000 บาท เพราะจริงๆ แล้วทัวร์ 8 วันยัง 130,000 แล้วนะ แต่แบบนี้อยู่ได้ทั้งเดือนเลย ที่สำคัญคือคุมงบได้ บางคนจ่าย 180,000 บ้าง 150,000 ก็มี ครูบอกเด็กเสมอว่ามีงบเท่าไหร่ บอกครู เดี๋ยวครูจัดให้ อย่างบางคนให้ครูแค่ 80,000 ที่เหลือเขาไปบริหารเอง ว่าจะกินข้าวนอกบ้าน หรือซื้อสปาเก็ตตีไปต้มเอง
แล้วทัวร์เวนิสตะวันออก บางกอกตะวันตกเกิดขึ้นได้ยังไง
มีรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่าบุสก้ารู้ไหมว่ามีคนอยากไปเที่ยวกับบุสก้าเยอะมาก แต่ถ้าไปอิตาลีมันแพง ลองทำทัวร์ธีมอิตาลีในกรุงเทพฯ ไหม ตอนแรกก็รู้สึกว่า คนอื่นที่เก่งกว่าก็มี ผู้เชี่ยวชาญก็เยอะ แต่พอนึกไปนึกมา คนที่เก่งจริงๆ ก็ไม่มาทำทัวร์ แล้วคนที่ทำทัวร์อย่างสถานทูตก็ทำให้คนอิตาเลียนเท่านั้น เราเลยลองดู
ฮามาก จัดรอบแรกครูจองรถ 20 ที่นั่ง ไม่ได้นับตัวเอง ครูนั่งตรงห้องเครื่อง (หัวเราะ) พอทำไปคนก็ชอบ ก็จัดอีก แล้วก็เต็มทุกรอบ คอนเซปต์คือโชว์ความเป็นอิตาเลียนในกรุงเทพฯ อย่างสถาปัตยกรรมฝีมืออิตาเลียนที่อยู่ในเมืองไทย คนมักคิดว่าต้องบินไปอิตาลีถึงจะเห็นศิลปะแบบนั้น แต่จริงๆ อยู่แถวนี้แหละ
เริ่มจากบ้านพิษณุโลกกับบ้านนรสิงห์ ทั้งสองหลังสร้างแบบเวนิส เลยตั้งชื่อว่า ‘เวนิสตะวันออก’ แล้วก็มีอีกคำว่า ‘บางกอกตะวันตก’ มันคล้องกันดี ทัวร์นี้ไม่เน้นความวิชาการนะ มันเป็นทัวร์สบาย จุดประกายคน อยากให้อะไรเล็กๆ สร้างแรงบันดาลใจ
บางคนมาเพราะอยากมาฟังเราพูด มาเอนจอยเสาร์-อาทิตย์ ไม่ต้องลงรถ ดูจากในรถก็ได้ แล้วก็มื้อกลางวันเป็นอาหารอิตาเลียน ทัวร์นี้จะได้เห็นทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ศิลปะ วิทยาการ
ภาพ : Facebook ครูก้า
คนแบบไหนที่มาทัวร์กับครูก้าบ้าง ถ้าจะให้พูดภาษาธุรกิจ คือ target group ของครูก้าคือใคร
เอาแบบอย่างที่อยากให้เป็นหรือที่เกิดขึ้นจริงล่ะ (หัวเราะ)
จะว่าไปก็คล้ายจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันแหละ target group ของครูไม่ได้อยู่ที่เพศหรือวัย แต่ครูอยากให้คนที่มาทัวร์กับครู เป็นคนที่รู้จักครูมาก่อนแล้วบ้าง อยากให้มีความเกรงใจกันบ้าง นักท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชื่ออยู่เรื่องหนึ่ง คือเห็นมัคคุเทศก์เป็นบ่าว ครูกลัวอะไรอย่างนั้น
วิธีที่จะหลีกเลี่ยงอะไรแบบนั้นคือครูไม่ประกาศโฆษณาในวงกว้าง ครูจะประกาศเฉพาะคนอักษรฯ หรือชาวช่องเท่านั้น แต่ชวนญาติมิตรมาด้วยได้นะ ไปๆ มาๆ ลูกทัวร์เลยหนักไปทางผู้หญิงเยอะ เหมือนทัวร์ของชาวเมืองลับแล (หัวเราะ)
เหมือนครูวางกลุ่มลูกค้าในแต่ละทัวร์มาอย่างดีแล้ว
พยายามให้เป็นแบบนั้น เพราะการมีลูกทัวร์ที่มีศีลเสมอกันเนี่ย มันดีกับบรรยากาศในทัวร์ด้วย ทัวร์ครูเนี่ย ลูกทัวร์มาตรงเวลามากนะ ดูแลกันดี กล่าวคือ จะมีคนช่วยเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยอีกทีหนึ่งโดยแทบไม่ต้องขอเลย แล้วเวลาหมดทัวร์ คนพวกนี้ก็สนิทกัน นัดกินข้าวกัน
ดีมากเลย
ภาพ : Facebook ครูก้า
ภาพ : Facebook ครูก้า
แล้วทัวร์ของครูก้าจะแตกต่างจากคนอื่นยังไง
ความตั้งใจของครูคืออยากให้ประสบการณ์การไปอิตาลีมันมีนอกเหนือจากความสวยงาม กล่าวคือ ให้เรียนรู้อุปนิสัยใจคอ หรือวัฒนธรรมของชาวอิตาเลียนด้วย เช่น ครูเลือกเมืองนี้ในวันนี้ เพราะมีตลาดนัด เลือกไปเมืองนั้นในปีนั้นเพราะเขาได้รับรางวัลเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของอิตาลีประจำปี ไม่จัดทัวร์ในบางเดือนเพราะจะสร้างความทรงจำที่ไม่ดีต่ออิตาลี เช่น ร้อนเกิน คนแน่น แย่งกันกิน แย่งกันนอน
ครูยังเลือกเส้นทางที่แตกต่างจากทัวร์อิตาลีอื่นๆ เช่น ตามรอยภาพยนตร์ ที่หมายตาไว้คือ Call Me By Your Name, เทวากับซาตาน, Cinema Paradiso ฯลฯ
สรุปคือ ใครไปอิตาลีกับเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ว่าคนอิตาเลียนกินยังไง อยู่ยังไง ตำนาน เรื่องเล่า ข่าวลือของเมือง ได้เดินตลาด เข้าซูเปอร์มาร์เก็ต มีเวลาเดินอ้อยอิ่ง จิบกาแฟเจ้าอร่อยของเมือง แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า นักท่องเที่ยวย่อมอยากได้ภาพสวยๆ ของที่ระลึกติดไม้ติดมือไปกับการท่องเที่ยวกับเราด้วย
นอกจากนี้ก็จะมีทัวร์เรียนภาษาและพาเที่ยว ทัวร์เรียนทำอาหาร ทำพิซซ่า ทำกาแฟ ทำเจลาโต้ พวกนี้อยู่ในแผนหมดแล้ว รอแค่เวลาที่เหมาะสม
กดดันบ้างไหมพอชื่อ ‘ครูก้า’ กลายเป็นแบรนด์
กดดันนะ พอมันกลายเป็นแบรนด์ คนก็จะคาดหวังว่าจะได้เจอครูก้าจริงๆ ได้ฟังเสียงจริงๆ ได้ vibe นั้นจริงๆ เพราะครูก้าไม่ใช่แค่ชื่อ มันกลายเป็นความคาดหวังไปแล้ว ตอนนี้เลยพยายามปรับ เช่น มีสอนออนไลน์ มีคลิป ไม่ใช่สอนสดอย่างเดียว หรือการทำทัวร์ไปเรียน ที่ครูอาจไม่ต้องไปเองได้บ้าง เพื่อขยายรูปแบบให้มันเดินต่อได้
ครูเรียนรู้อะไรจากการออกมาทำธุรกิจเองบ้าง
หนึ่งเลยคือการยอมรับตัวเองนะ ครูเป็นคนชัดเจน ก็ต้องใช้ความชัดเจนนั้นให้เกิดประโยชน์ บางครั้งต้องไม่ถ่อมตัวเกินไป ตอนที่ออกจากการเป็นครูใหม่ๆ ครูยอมรับยากมากว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นนักธุรกิจ เพราะถูกสอนว่าคนอักษรต้องเย่อหยิ่งกับวัตถุ
แต่พอมองจริงๆ ถ้าเราเป็นนักเขียนไส้แห้ง ใครจะอยากเป็นนักเขียน ถ้าเราเป็นนักแปลแต่ไม่รวย ใครจะอยากเรียนอิตาเลียน เพราะงั้นเมื่อออกมาทำธุรกิจ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ต้องรวยด้วยนะ แต่รวยยังไงให้บาลานซ์ไงล่ะ
ตอนนี้ครูก็พยายามเรียนรู้ที่จะตีมูลค่าตัวเอง คิดราคางานต่อรอง ยังไม่เก่งหรอก ก็อาศัยลูกศิษย์เป็นที่ปรึกษาไว้ก่อน แล้วค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ
ครูพูดถึงคำว่า ‘โชคดี’ และ ‘เบื้องบน’ บ่อยมาก ถ้าไม่ใช่โชค ครูคิดว่าอะไรที่ทำให้ครูผ่านทุกช่วงของชีวิตมาได้
อันนี้เหมือนจะชมตัวเองเลยนะ แต่ต้องตอบว่า ครูเป็นคนรักคนน่ะ ถ้าถามว่าทำไมคนถึงรักครู ครูก็รักเขาก่อน ครูช่วยคนเท่าที่ช่วยได้ ถ้าวันหนึ่งเราต้องขอความช่วยเหลือ เขาก็เต็มใจให้ บางคนก็อาจจะไม่รักครู ก็มี มันต้องทำใจ
แล้วเป้าหมายตอนนี้ของครูก้าคืออะไร
เป้าหมายของครูคืออยากเป็นหลักให้กับคนที่อยากเรียนภาษาอิตาเลียน เป็นผู้ใหญ่ที่เขาพึ่งพาได้ อย่างที่บอกว่าครูไม่ตั้งใจที่จะรวยมาก การเปิดบริษัทเพื่อเรื่องบัญชี แต่ถามว่าอยากรวยไหม ก็อยากรวยแหละ เพราะอยากไปอิตาลีบ่อยๆ อยากใช้ชีวิตไทย-อิตาลีแบบบาลานซ์ โดยไม่ต้องลำบาก
แต่ก็ไม่ได้หวังจะไปตีตลาดคนแปลกหน้าอะไรหรอก แค่มีเงินพอเลี้ยงตัวเอง ไปๆ มาๆ ได้ตอนแก่ แล้วก็ช่วยคนไทยได้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว
ถึงตอนนี้ ถามว่าชีวิตมีความสุขไหม มีความสุขมากนะ คือไอ้ความฝันที่ไม่กล้าฝันแบบแม่สิตางศุ์เนี่ย มันมีอยู่จริง ไอ้ความฝันที่เราเคยอยากเป็นครูภาษาอิตาลีให้กับคนไทยทั้งโลก เฮ้ย วันหนึ่งมันเป็นจริงได้ด้วยว่ะ