ผ่าผลงาน 5 ปี “ดนุชา พิชยนันท์” ก่อนส่งไม้ต่อเลขาธิการสภาพัฒน์ คนใหม่
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ "สภาพัฒน์" ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะองค์กรแห่งนี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็น Think Tank หรือ “มันสมอง” หลักของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน-วางกรอบนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงเป็นผู้มีข้อเสนอแนะที่ตั้งอยู่บนหลักการที่น่าเชื่อถือส่งตรงไปถึงรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้ตรงเป้า
ด้วยเหตุนี้ ตำแหน่ง “เลขาธิการสภาพัฒน์” จึงไม่ใช่เพียงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทั่วไปในระบบราชการ แต่เป็นตำแหน่งที่ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในการวางแผนทั้งด้านงบประมาณ ยุทธศาสตร์ประเทศ โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์สำคัญของการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ทิศทางของการพัฒนา และรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก
ล่าสุดตำแหน่งสำคัญนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้โยก “ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการสภาพัฒน์ ให้ไปนั่งเป็น เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คนใหม่ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
การโอนย้ายครั้งนี้นับเป็นการสิ้นสุดบทบาทของนายดนุชาในฐานะเลขาธิการสภาพัฒน์ลำดับที่ 16 หลังจากที่เขาได้ดำรงตำแหน่งนี้มาเป็นเวลา 5 ปีเต็ม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 โดยในช่วงปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งนั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติต่ออายุการดำรงตำแหน่งของเขาออกไปอีก 1 ปี
ย้อนผลงาน “เลขาธิการสภาพัฒน์”
ผลงานของ “เลขาธิการสภาพัฒน์” ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ต้องเรียกว่า นายดนุชา เริ่มต้นการดำรงตำแหน่งเบอร์หนึ่งของสภาพัฒน์ในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจและสังคมไทย เพราะประเทศต้องเผชิญกับ “วิกฤติซ้อนวิกฤต” ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวม นั่นคือ วิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ในสถานการณ์ดังกล่าว บทบาทของสภาพัฒน์ในฐานะ Think Tank ของรัฐบาลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องเป็นหน่วยงานที่วิเคราะห์สถานการณ์ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา และร่วมออกแบบมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับวิกฤติเหล่านี้
โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลไทยได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ รวมวงเงินทั้งสิ้น 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
สภาพัฒน์ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการและฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดทั้งสองฉบับ ซึ่งเป็นบทบาทที่สำคัญในการดูแลให้การใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ให้มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย
นอกจากมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การจัดหาวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับประชาชนแล้ว สศช.ยังได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกระจายวัคซีนไปยังภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การผลิตสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกระจายวัคซีนให้กับชาวต่างประเทศที่มาลงทุนในไทย และกลุ่มผู้ทำงานที่เป็น Expat ขององค์กรระหว่างประเทศ
มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทยอีกด้วย เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย สศช.ยังมีบทบาทในการวางแผนการเปิดเมืองอย่างเป็นขั้นตอน โดยทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อกำหนดแผนการทำงานที่เหมาะสม
ขณะที่มาตรการด้านเศรษฐกิจ สศช.ได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลในการออกแบบและวางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายมาตรการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคนละครึ่งที่ถือเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว
ปัญหาหนี้ครัวเรือน
อีหนึ่งวิกฤตที่ถาโถมเศรษฐกิจไทย นั่นคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นอีกวิกฤตสำคัญ ซึ่งสภาพัฒน์ได้เข้าไปมีบทบาทในการแก้ไข ประเทศไทยมีอัตราหนี้สินภาคครัวเรือนสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โดยได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ในการออกแบบโครงการ "คุณสู้เราช่วย" ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งช่วยให้ประชาชนที่ติดเครดิตบูโรสามารถกลับมาจ่ายหนี้ได้ และลดระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โครงการนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการในระยะที่ 2
เช่นเดียวกับการสร้างจิตสำนึกและความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลแก่ประชาชน โดยที่ผ่านมา เลขาสศช. มักแจ้งเตือนไม่ให้ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ใช้จ่ายเกินตัวจนเกิดปัญหาหนี้สิน การสร้างวินัยทางการเงินส่วนบุคคลนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันที่สำคัญในระยะยาว
ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่การคลัง (fiscal space) เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติการคลังในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนกับความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ 2 ฉบับ
ผลงานที่สำคัญ ในระหว่างการดำรงตำแหน่งเลขาสศช. นั่นคือ การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งเป็นแผนหลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยได้มีการกำหนดหมุดหมายการพัฒนาประเทศที่สำคัญไว้ 13 ด้าน
แผนนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความเข้าใจเกี่ยวกับความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมสูงอายุ ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก
ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน สภาพัฒน์ กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและจัดทำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571-2575) ซึ่งจะเป็นแผนที่ต้องนำประสบการณ์และบทเรียนจากการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการรับมือกับวิกฤติต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการวางแผนสำหรับอนาคต การจัดทำแผนฉบับนี้จึงเป็นภารกิจสำคัญที่เลขาธิการสภาพัฒน์คนใหม่จะต้องสานต่อให้สำเร็จ
การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
อีกเรื่องที่ลืมไปไม่ได้สำหรับประเทศไทย นั่นคือ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่นายดนุชา นั่งเป็นเลขาฯ สศช. และสภาพัฒน์ เองก็มีบทบาทสำคัญในการวางโครงร่างสร้าง Roadmap โดยอยู่ในฐานะกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
โดยมีส่วนร่วมสำคัญในการยกร่างแผน การติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงการจัดทำแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
งานส่วนนี้ถือเป็นงานที่มีความต่อเนื่องและต้องได้รับการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบจึงต้องมีการส่งมอบงานและความรู้อย่างละเอียดเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ดันไทยเป็นสมาชิก OECD
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังสามารถผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เขามองว่ามาตรฐานและกฎระเบียบของ OECD ถือว่าเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ หากไทยสามารถเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้จะส่งผลดีต่อการได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ การลงทุนและทำธุรกิจของต่างชาติในไทยจะมีมาตรฐานและหลักปฏิบัติที่ชัดเจนสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้เริ่มต้นอย่างจริงจังในช่วงที่นายดนุชาดำรงตำแหน่ง โดยสภาพัฒน์ได้ทำงานร่วมกับ OECD อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นายมาทีอัส คอร์มานน์ เลขาธิการ OECD ได้เดินทางเยือนประเทศไทยถึง 2 ครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญที่ OECD ให้กับประเทศไทย
ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายดนุชาพร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สภาพัฒน์ได้เข้าร่วมการหารือกับเอกอัครราชทูตโคลอมเบียประจำ OECD และอุปทูตโรมาเนีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิก OECD และแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการประยุกต์ใช้เทคนิคการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Foresight) เพื่อประกอบการยกร่างกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ณ กรุงปารีส
สำหรับขั้นตอนการเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ของไทยมีความคืบหน้าไปตามลำดับ ประเทศไทยได้ยื่นขอสมัครเมื่อเดือนเมษายน 2567 และได้รับเชิญให้เข้าสู่กระบวนการหารือเพื่อเข้าเป็นสมาชิกแล้วตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2567 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทำแผนเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) และได้เข้าร่วมโครงการ OECD Thailand Country Programme ระยะที่ 2
ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบและนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD ตามโรดแมป กระบวนการนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องและความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับมาตรฐานและข้อกำหนดของ OECD ซึ่งเลขาธิการสภาพัฒน์คนใหม่จะต้องรับช่วงต่อและผลักดันให้สำเร็จ
ความท้าทายรองรับ เลขาฯสศช.
สำหรับสภาพัฒน์ การเปลี่ยนแปลงเลขาธิการคนใหม่นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 รวมทั้งการผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและการสร้างความยั่งยืนทางการคลัง
ยังไม่นับเรื่องแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ประเทศไทยมีความท้าทายรองอยู่ข้างหน้าอีกมาก ซึ่งบทบาทหน้าที่ของ สศช. นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งกำการมอนิเตอร์เศรษฐกิจร่วมกับหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะการรับเมือกับความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และการเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจ้างงานและการผลิต การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบที่จะส่งผลกระทบต่อระบบสวัสดิการและการเงินการคลังของรัฐ ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการใช้ชีวิต รวมไปถึงการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ภายในปี 2573
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกและห่วงโซ่อุปทานที่จะส่งผลต่อการค้าและการลงทุน ความท้าทายเหล่านี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง การวางแผนที่รอบคอบ และการปรับตัวที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นภารกิจใหญ่ที่ท้าทายฝีมือ เลขาสภาพัฒน์ คนใหม่ ในฐานะ Think Tank ของประเทศเป็นอย่างมาก