สาย 'ชาเขียวมัทฉะ' ต้องรู้! ดื่ม -เลือกอย่างไร ให้ดีต่อสุขภาพ
“ชาเขียว หรือมัทฉะ (Matcha)” เป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่กำลังฮอต กำลังฮิตในหมู่ของคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะวัยทำงาน และคนรุ่นใหม่ หลายๆ คนเปลี่ยนจากการดื่มน้ำอัดลม กาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ มาเป็นชาเขียว เพื่อเปดูแลสุขภาพ
“การดื่มชาดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน ซึ่ง “ชา” ถือเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลกรองจากน้ำเปล่า โดยเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดในประเทศอินเดียทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศพม่าตอนเหนือ และประเทศจีนทางตะวันตกเฉียงใต้ และมีหลักฐานว่ามีการบริโภคชาในประเทศจีนมาตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีก่อน
โดยมีการเพาะปลูกและแปรรูปชาเป็นส่วนใหญ่ องค์การสหประชาชาติจึงได้มีมติกำหนดให้มีวันชาสากล (International Tea Day) เพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนการผลิตและการบริโภคชาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของชา
ชาเป็นเครื่องดื่มที่ทำจากส่วนใบของต้นชา (Camellia sinensis) ซึ่งสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สายพันธุ์ของชา แหล่งกำเนิด วิธีการเก็บเกี่ยว และกระบวนการผลิตชา ส่งผลให้ใบชามีสีและรสชาติต่างกันไป เช่น ชาดำ (Black tea), ชาเขียว (Green tea), ชาอู่หลง (Oolong tea), ชาขาว (White tea), ชาเหลือง (Yellow tea), ชาแดง (Pu-erh tea) นอกจากนี้ยังมีชาสมุนไพร (Herbal tea) ที่ได้มาจากสมุนไพร ดอกไม้ หรือผลไม้ เช่น ชามะตูม ชาเก๊กฮวย ชาคาโมมายล์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'มัทฉะVSชาเขียว' ความเหมือนที่แตกต่าง คนรักสุขภาพต้องไม่พลาด!
อยากอายุยืน? ลองดื่ม “ชาดำ” 2 ถ้วยต่อวัน ลดความเสี่ยงเสียชีวิตได้ 13%
“มัทฉะ” ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพอย่างไร?
“มัทฉะ (Matcha)” ที่สายสุขภาพหลงรักนั้น คือ ชาเขียวบดละเอียดที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปตรงที่เราจะบริโภคผงชาเขียวทั้งหมด ไม่ใช่แค่น้ำชาที่ได้จากการแช่ใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่มากกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 137 เท่า
มัทฉะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ตามเกรดคุณภาพได้แก่
1. มัทฉะเกรดพิธีกรรม (Ceremonial Grade):
เป็นมัทฉะคุณภาพสูงสุด ผลิตจากใบชาที่อ่อนที่สุดในช่วงแรกของการเก็บเกี่ยว รสชาติกลมกล่อม นุ่มนวล เหมาะสำหรับชงดื่มแบบดั้งเดิม
2. มัทฉะเกรดประจำวัน (Daily Grade):
เป็นมัทฉะที่มีคุณภาพรองลงมา เหมาะสำหรับชงดื่มในชีวิตประจำวัน หรือใช้ทำเครื่องดื่มต่างๆ เช่น ลาเต้มัทฉะ
3. มัทฉะเกรดสำหรับทำอาหาร (Culinary Grade):
เป็นมัทฉะที่มีคุณภาพต่ำที่สุด เหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหารและขนมต่างๆ เนื่องจากมีรสชาติที่เข้มข้นและฝาดกว่า
โดยทั่วไปเครื่องดื่มชาเขียวชง (250 มล.) มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) หรือสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน ; Catechins) อยู่ที่ 50 – 100 มิลลิกรัม และคาเฟอีน 30 – 40 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณอาจแตกต่างกันตามขั้นตอนการเตรียม เวลาในการต้ม หรืออุณหภูมิของน้ำ
ชาเขียวมัทฉะ สุดยอดเครื่องดื่มชะลอวัย
1. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะแคทีชิน (Catechins)
มัทฉะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแคทีชิน (Catechins) โดยเฉพาะสาร EGCG (Epigallocatechin Gallate) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยลดการอักเสบ และปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากนี้ สรรพคุณชาเขียวมัทฉะยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น มะเร็งและโรคหัวใจได้อีกด้วย
2. กระตุ้นการเผาผลาญและช่วยควบคุมน้ำหนัก
มัทฉะประกอบด้วยสารคาเฟอีนและแคทีชิน ซึ่งทำงานร่วมกันช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย (Thermogenesis) และเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก (Resting Metabolic Rate) ส่งผลให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ
นอกจากนี้ มัทฉะยังมีคุณสมบัติพิเศษช่วยลดความอยากอาหาร และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล รวมถึงให้พลังงานแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและตกอย่างรวดเร็วเหมือนกับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือกาแฟ
3. เพิ่มพลังงานและความตื่นตัว โดยไม่ทำให้ใจสั่น
มัทฉะมีกรดอะมิโนพิเศษที่เรียกว่า L-theanine ซึ่งทำงานร่วมกับคาเฟอีน เพื่อให้พลังงานที่สม่ำเสมอและยาวนาน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ก่อให้เกิดอาการหงุดหงิดหรือใจสั่นเหมือนเวลาที่เราดื่มกาแฟ
4. บำรุงสมอง เพิ่มความจำ และสมาธิ
สาร L-theanine ในมัทฉะมีส่วนช่วยเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทสำคัญในสมอง เช่น โดปามีน เซโรโทนิน และ GABA ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนช่วยปรับปรุงอารมณ์ ความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น
ที่น่าสนใจคือ เมื่อร่างกายได้รับ L-theanine และคาเฟอีนพร้อมกัน (ซึ่งทั้งสองชนิดนี้พบได้ในมัทฉะ) จะยิ่งส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมองให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในด้านการปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหาย การลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ รวมถึงการเพิ่มสมาธิและความสามารถในการจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ
5. ช่วยดีท็อกซ์และล้างพิษตับ
มัทฉะอุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นในการดีท็อกซ์ร่างกาย โดยช่วยกำจัดสารพิษและโลหะหนักที่สะสมอยู่ให้ออกไป นอกจากนี้ สาร EGCG ที่พบมากในมัทฉะยังมีบทบาทสำคัญในการบำรุงการทำงานของตับให้แข็งแรง พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดพังผืดในตับ และลดการอักเสบของตับได้อีกด้วย ทำให้ตับสามารถทำหน้าที่กำจัดสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและระบบหลอดเลือด
สารแคทีชินในมัทฉะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง EGCG มีคุณประโยชน์อย่างมากต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งกลไกเหล่านี้มีผลโดยตรงในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
7. ช่วยชะลอวัยและปกป้องผิวพรรณ
สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะ โดยเฉพาะ EGCG มีคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบและชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการชะลอความเสื่อมของผิวหนังและป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ยิ่งไปกว่านั้น มัทฉะยังช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะต่าง ๆ ได้ด้วย
8. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
มัทฉะมีสารหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A, C, E, วิตามินบีรวม และแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ เช่น สังกะสีและซีลีเนียม โดยจะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น
ที่สำคัญ สาร EGCG ในมัทฉะยังต้านไวรัสและแบคทีเรียได้ ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่
ความเชื่อเรื่องการดื่มชาเพื่อสุขภาพ
1. ชามีสารต้านอนุมูลอิสระจริงหรือไม่?
จริง เพราะในชามีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า คาเทซิน (Catechins) โดยในชาเขียว (Green tea) จะมีมากกว่าชาดำ (Black tea) เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการหมัก
2. ดื่มชาช่วยป้องกันโรคมะเร็งจริงไม่?
มีการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหาร อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาในคนถึงชนิดชา ปริมาณที่เหมาะสม และความปลอดภัยในระยะยาว
3. ดื่มชาช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
สารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในใบชา มีส่วนช่วยในการย่อยและการดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรต และช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน โดยสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) จากชาดำ (Black tea) มีประสิทธิภาพมากกว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในชาเขียว (Green tea) แต่การดื่มชาในปัจจุบันที่มีการผสมน้ำตาลหรือนมข้นในปริมาณมาก มีพลังงานสูงทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
4. ดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองจริงหรือ?
มีการศึกษาพบว่าการดื่มชาดำ (Black tea) หรือชาเขียว (Green tea) อย่างน้อย 3 แก้วต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ 21% ทั้งนี้การเติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานอื่น ๆ อาจลดประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ได้ รวมถึงน้ำตาลและสารให้ความหวานอาจทำให้เบาหวานคุมได้ยาก และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดได้
5. ดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานได้จริงหรือ?
การศึกษาในหลอดทดลอง พบว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในชา มีคุณสมบัติเป็นสารต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ตับอ่อน และอาจช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีผลต่อความต้านทานภาวะดื้ออินซูลิน
การศึกษาในคนมักใช้เป็นสารสกัดจากชาเขียวในปริมาณมาก หรือดื่มชาดำที่ไม่ใส่น้ำตาล ตั้งแต่ 500 - 1500 มิลลิลิตรต่อวัน และยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวถึงความปลอดภัย
6. ดื่มชาช่วยลดไขมันในเลือดจริงหรือไม่?
มีการศึกษาพบว่าการรับประทานสารสกัดจากชาเขียวช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไขมันไม่ดี (LDL ; Low Density Lipoprotein) ในเลือดได้ ในการทดลองส่วนใหญ่ใช้เป็นสารสกัดชาเขียวเข้มข้นสูง หากต้องการให้ได้ผลตามงานวิจัยอาจจะต้องดื่มชาเขียวกว่าวันละ 160 แก้ว และยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวถึงความปลอดภัย ดังนั้นการปรับวิธีการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย อาจเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและปลอดภัยมากกว่า
เคล็ดลับเลือกดื่มชาให้ดีต่อสุขภาพ
1. ไม่ดื่มชาที่ร้อนเกินไป หรืออุณหภูมิมากกว่า 55 - 65 องศาเซลเซียส เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า การดื่มชาที่ร้อนมากเกินไป เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร
2. เลือกชาใส เลี่ยงการเติมน้ำตาล ครีมเทียม หรือนม เนื่องจากลดประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในชาได้ สามารถปรุงแต่งกลิ่นวานิลลาหรืออบเชยเล็กน้อยเพื่อเลียนแบบความหวานได้ หรือหากชอบออกรสหวานแนะนำเป็นชาสมุนไพรรสผลไม้เนื่องจากชาบางชนิดมีรสหวานจากธรรมชาติโดยไม่ต้องเติมสารให้ความหวาน
3. เลือกซื้อชาแก้วขนาดเล็กสุด ในกรณีที่เลือกดื่มชาที่มีการเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม หรือครีมเทียม เพื่อลดพลังงานหรือน้ำตาลที่ได้รับต่อวัน
4. ลดระดับความหวาน หากติดดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน แนะนำค่อย ๆ ปรับลดระดับความหวานลงทีละน้อย เช่น จากเดิมเลือกความหวาน 100% ปรับลดวามหวานลงเหลือ 50% หรือ 25%
5. ลดความถี่การดื่มชาที่มีการเติมน้ำตาล ครีมเทียม นม หรือท็อปปิ้งเพิ่มเติม ไม่ควรดื่มเกิน 1 - 2 แก้วต่อสัปดาห์
วิธีเลือกและเตรียมมัทฉะคุณภาพดี
การเลือกมัทฉะคุณภาพดี เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากเครื่องดื่มสุขภาพชนิดนี้
สี : ควรมีสีเขียวสดใส หลีกเลี่ยงมัทฉะที่มีสีเขียวอมเหลืองหรือน้ำตาล เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณว่าผงชาเก่าเก็บ หรือคุณภาพต่ำ
กลิ่น : ควรมีกลิ่นหอมสดชื่น หากมีกลิ่นอับหรือกลิ่นเหม็นหืน แสดงว่าอาจเก็บไว้นานเกินไปหรือเก็บในสภาพไม่เหมาะสม
ความละเอียด : มัทฉะคุณภาพดีจะมีเนื้อละเอียดคล้ายแป้ง สัมผัสนุ่มเนียน ไม่มีเศษหยาบหรือก้อนเล็ก ๆ ปะปน