การคลังเสี่ยงวิกฤต ? ‘ปฏิรูปภาษี-คุมรายจ่าย’ คือ ‘คำตอบ’
เสียงเตือน “วิกฤตการคลัง” ดังขึ้นอีกครั้ง ในการประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของสภาผู้แทนราษฎร สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับฐานะการคลังของไทย ว่าสิ่งที่เป็นปัญหามาตลอด และจะหนักหนาสาหัสมากขึ้นต่อไปในอนาคต คือ การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล
“ในงบประมาณปี 2569 มียอดขาดดุล 860,000 ล้านบาท และประมาณการรายได้ไว้ที่ 2,920,600 ล้านบาท ซึ่งปัญหาคือการประมาณการที่ใช้ในการจัดทำงบฯ ปี 2569 โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.3-3.3% ผมมองว่าอัตราการขยายตัวน่าจะต่ำกว่านั้นมาก ทำให้การประมาณการรายได้สูงกว่าความเป็นจริง และทำให้ต้องนำเงินคงคลังมาใช้ และตามมาด้วยการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังในอนาคต”
นายวีระยังกล่าวด้วยว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายที่ไม่สอดคล้องกับประมาณการรายได้ ทำให้การตั้งวงเงินงบประมาณรายจ่ายนั้นสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้ต้องกู้ยืมด้วยการทำงบประมาณขาดดุลเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ทำก็เป็นเพียงไม่ให้ขัดต่อกฎหมายเท่านั้น การบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายแบบนี้ นับวันจะสะสมพอกพูนความเสี่ยงทางด้านการคลังของประเทศมากขึ้น
“หากดูยอดงบประมาณที่มีการขาดดุล 4% เมื่อเทียบกับ GDP เป็นอัตราที่เป็นอันตราย เพราะมาตรฐานในการขาดดุลงบประมาณไม่ควรเกิน 3% ด้วยเหตุที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวต่ำ ผมอยากจะบอกว่า หากได้อ่านรายงานความเสี่ยงทางการคลังในงบประมาณปี 2567 และแผนการคลังระยะกลางปีงบประมาณ 2569-2572 ได้ส่งสัญญาณว่า อาจจะเกิดวิกฤตการเงินการคลังในอนาคต หากไม่แก้ไขตอนนี้”
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ด้านการคลังที่มีความเสี่ยงนั้น ไม่ได้เพิ่งจะมีการเตือนกันตอนนี้ แต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ธนาคารโลกก็ออกมาเตือน ผ่านรายงาน “Thailand Economic Monitor” โดยชี้ว่า ความพยายามของรัฐบาลไทยในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังแบบขยายตัว กำลังเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านต้นทุนที่สูงขึ้น ในการดูแลผู้สูงอายุ การลงทุน และความจำเป็นในการรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน
ด้วยแรงกดดันจากการใช้จ่ายภาครัฐและต้นทุนการลงทุนในทุนมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น จากผู้สูงอายุที่มากขึ้น ธนาคารโลกคาดว่าหนี้สาธารณะจะพุ่งทะลุเพดานเป็น 70% ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมแนะนำว่า ไทยสามารถเสริมความยืดหยุ่นทางการคลังได้ด้วยการลดเงินอุดหนุนด้านพลังงาน เพิ่มรายได้ภาษี และเร่งภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและทุนมนุษย์ (Human Capital)
นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับเครดิตอย่าง “มูดีส์” ก็ออกโรงเตือนเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สิ่งที่ กมธ.งบประมาณเตือนเรื่องวิกฤตการคลัง เรื่องดังกล่าวอยู่ในความเสี่ยงทางการคลังที่ทางกระทรวงเห็นอยู่แล้ว และปีนี้เป็นปีแรกที่กระทรวงการคลังระบุว่า หากรายได้ไม่เพียงพอ ก็ไม่ควรจะก่อหนี้ ถือเป็นปีแรกที่งบประมาณไม่โต งบประมาณเท่ากับปีก่อน เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐไม่ได้เพิ่มขึ้น
โดยต้องให้ความสำคัญกับการจัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งข้อมูลที่เชื่อมโยงจาก 3 กรมจัดเก็บภาษี ได้แก่ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต จะทำให้เห็นช่องโหว่และสามารถตรวจสอบไขว้กันได้ ซึ่งการเชื่อมโยงข้อมูลภาษีนี้เป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อเพิ่มรายได้ของประเทศในอนาคต และเมื่อระบบเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนทุกคนที่อยู่ในประเทศและต้องการรับสวัสดิการจะต้องยื่นข้อมูลภาษี เพื่อเข้ารับสิทธิ ผ่าน Negative Income Tax
“บางครั้งผู้ประกอบการเสียภาษีนำเข้าต่ำ ก็จะไปเพิ่มกำไรและรายได้ธุรกิจ ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น ข้อมูลจากหลายกรมช่วยให้เรามองเห็นความสัมพันธ์แบบนี้และปิดช่องโหว่ได้”
ทั้งนี้ สำหรับการหาแนวทางเพิ่มรายได้ โดยการปฏิรูปภาษี ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของกระทรวงการคลัง ซึ่งที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีการโยนหินถามทางกันหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันที่เก็บ 7% ซึ่งการปรับขึ้น VAT ทุก 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี
หรือนอกจากนั้น ก็ยังมีแนวคิดให้ธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียน VAT ด้วย และให้จ่ายภาษีแค่ 1% ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงใน กมธ.งบประมาณว่า กำลังศึกษาว่าในอนาคตจะปรับรูปแบบการเก็บภาษีธุรกิจเอสเอ็มอี แยกต่างหากจากธุรกิจรายใหญ่ โดยมีตัวอย่างในต่างประเทศที่บางประเทศจะใช้ Turnover Tax เก็บภาษีเหมาจ่ายที่ 1.5% หรือ 2%
“เรื่องนี้กรมสรรพากรศึกษาอยู่ แต่ทั้งนี้ เรื่องเหล่านี้จะทำหรือไม่ เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบาย”
นอกจากนี้ อธิบดีกรมสรรพากรยังกล่าวถึงการจัดเก็บภาษีการเดินทาง ว่าเรื่องดังกล่าวต้องแก้กฎหมายชั้น พ.ร.บ. ซึ่งจะต่างจากอดีตที่เก็บเฉพาะคนไทยที่เดินทางออกนอกประเทศ แต่หากกลับมาเก็บ จะเก็บต่างชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทยแล้วเดินทางออกไปนอกประเทศด้วย
ทั้งหมดนี้ การจะแก้ปัญหา หรือลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตการคลังได้ “การปฏิรูปภาษี” จึงสำคัญมาก เพียงแต่ผู้ดำเนินนโยบายจะต้องหาวิธีการ และจังหวะที่เหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมคนทำมาหากินให้ลำบากยิ่งขึ้น ในยุคที่เศรษฐกิจยังลูกผีลูกคนอยู่เช่นนี้ ซึ่งหากยังทำเรื่องภาษีไม่ได้ “การคุมรายจ่าย” ก็เป็นเรื่องที่ควรทำที่สุด
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : การคลังเสี่ยงวิกฤต ? ‘ปฏิรูปภาษี-คุมรายจ่าย’ คือ ‘คำตอบ’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net