UOB ครึ่งแรกปี'68 กำไรสุทธิ 2.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
กลุ่มธนาคารยูโอบี (UOB) ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 2.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ จากการตั้งสำรองรับมือเศรษฐกิจไม่แน่นอน กลุ่มลูกค้ารายย่อย กำไรก่อนหักภาษี เพิ่มขึ้น 11% ผู้บริหารเผย กำลังปรับโครงสร้างรายได้ให้หลากหลาย โฟกัส ‘ค่าธรรมเนียม’ มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มธนาคารยูโอบี ประกาศผลกำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (1H25) อยู่ที่ 4.0 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมในหลายกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเป็นเลขสองหลัก ขณะที่กำไรสุทธิลดลงร้อยละ 3 อยู่ที่ 2.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ เนื่องจากการตั้งสำรองทั่วไปเชิงป้องกันเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังคงทรงตัวจากปีก่อน โดยการเติบโตของปริมาณสินเชื่อช่วยลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ลดลง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง สินเชื่อ และบัตรเครดิต รายได้อื่นที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากกระแสเงินที่ไหลเข้ามาจากธุรกรรมบริหารเงินของลูกค้า แม้จะถูกกดดันจากกิจกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์และบริหารสภาพคล่องที่อ่อนตัวลง
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost-to-Income Ratio) ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 44.4 เป็นร้อยละ 43.5 ในครึ่งปีแรกของปี 2568 สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คุณภาพสินทรัพย์ยังคงมั่นคง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 1.6 และต้นทุนการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 34 จุด เนื่องจากการตั้งสำรองเฉพาะรายและสำรองเชิงป้องกันที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการธนาคารมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 85 เซนต์ต่อหุ้นสามัญ คิดเป็นอัตราการจ่ายประมาณร้อยละ 50 พร้อมจ่ายเงินปันผลพิเศษงวดที่สองอีก 50 เซนต์ ตามแผนการจัดสรรเงินทุนที่ประกาศไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568
‘ธุรกิจขนาดใหญ่’ กำไรก้อนใหญ่จากธุรกรรม
ในครึ่งปีแรกของปี 2568 กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Wholesale Banking) มีกำไรก่อนหักภาษีลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อนหน้า จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการแข่งขันเพื่อสินทรัพย์คุณภาพ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจวาณิชธนกิจสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รายได้จากการบริหารเงินของลูกค้า (customer-related treasury income) เติบโตเป็นเลขสองหลัก ธุรกิจการธนาคารด้านธุรกรรม (Transaction Banking) ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ทำกำไร โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ แม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
รายได้จากสินเชื่อการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มการจัดการเงินสด การค้า และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) แบบบูรณาการในตลาดหลัก
รายได้ข้ามพรมแดนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นร้อยละ 26 ของรายได้รวมของธุรกิจขนาดใหญ่ โดยได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลายและความแข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารในด้านการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
‘รายย่อย’ กำไรเพิ่มขึ้น 11%
ธุรกิจลูกค้ารายย่อยของยูโอบีรายงานกำไรก่อนหักภาษี 1.1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในครึ่งปีแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และบัตรเครดิต ช่วยชดเชยแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการแข่งขันในตลาด เงินฝากของลูกค้ารายย่อยทะลุระดับ 200 พันล้านเหรียญสิงคโปร์เป็นครั้งแรก สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์
รายได้จากบริหารความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ลูกค้านำเงินฝากไปลงทุนในสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) กลุ่มลูกค้ามูลค่าสินทรัพย์สูงยังคงสร้างแรงส่ง โดยมีเงินใหม่ไหลเข้าสุทธิ 3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในไตรมาสที่สองของปี 2568
รายได้จากบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกับการเติบโตของยอดใช้จ่ายผ่านบัตรในระดับเลขสองหลัก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเครือข่ายระดับภูมิภาคของกลุ่มธนาคาร ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และการยกระดับสิทธิประโยชน์
เดินหน้าโฟกัส ‘ค่าธรรมเนียม’ มากขึ้น
นายวี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มธนาคารยูโอบี กล่าวว่า กลุ่มธนาคารยูโอบีสามารถส่งมอบผลประกอบการที่มั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจหลักของเรา รวมถึงการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมจากฐานลูกค้าที่หลากหลาย คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงแข็งแกร่ง และงบดุลของเรายังคงมั่นคง ด้วยระดับเงินทุนและสภาพคล่องที่ดี
ในขณะที่ภูมิทัศน์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระเบียบโลกใหม่ อาเซียนยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เรามั่นใจในแนวโน้มระยะยาวของภูมิภาคนี้ ซึ่งมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง การบูรณาการระดับภูมิภาค การกระจายการค้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อาเซียนพร้อมรับมือและเติบโตในเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลง
นายวี อี เชียง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า หลังการเข้าซื้อกิจการของซิตี้กรุ๊ป เครือข่ายระดับภูมิภาคขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีฐานลูกค้าในอาเซียนมากกว่า 8.4 ล้านราย และกำลังเดินหน้าปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่โครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและเน้นรายได้จากค่าธรรมเนียมให้มากยิ่งขึ้น โดยใช้จุดแข็งด้านการเชื่อมโยงและขนาดเครือข่ายระดับภูมิภาคของเรา ในฐานะผู้เล่นระยะยาว เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าผ่านความไม่แน่นอน และลงทุนในศักยภาพเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับธนาคารยูโอบี เป็นธนาคารสัญชาติสิงคโปร์ ปัจจุบันมีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม รวมถึงสาขาในอีก 19 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ยุโรปตะวันตก และอเมริกาเหนือ รวมกว่า 470 แห่งทั่วโลก
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : UOB ครึ่งแรกปี’68 กำไรสุทธิ 2.8 พันล้านเหรียญสิงคโปร์
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net