SOCIETY: เอะอะก็ขอโทษ! เป็นกันหรือเปล่า ‘ติดการขอโทษ’ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด พฤติกรรมขี้กังวลและรู้สึกผิดมากเกินไป
เคยไหม? เวลาเรานั่งทำอะไรอยู่สักอย่าง พอเพื่อนที่นั่งข้างๆ มาชนแขนเข้าหน่อย เรากลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดคำว่า “ขอโทษ” ออกไปก่อน หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่มีคนวิ่งมาชนเรา จนเขาหกล้มเอง เรากลับชิงขอโทษเขาไปก่อน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด หรือจำเป็นต้องขอโทษเลยด้วยซ้ำ
หากเอ่ยถึงเรื่องการขอโทษ ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่านี้คือมารยาทพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเราต่างถูกสอนมาเสมอว่า เมื่อเราทำเรื่องผิดพลาด หรือสร้างปัญหาให้กับคนอื่น การรู้จักขอโทษถือเป็นสิ่งที่ช่วยคลี่คลายปัญหาจากหนักเป็นเบาได้
ทว่าการขอโทษก็อาจไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป หากเราใช้มันพร่ำเพรื่อไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงเลยว่าสถานการณ์นั้นเราเป็น ‘ฝ่ายผิด’ หรือ ‘ฝ่ายถูก’ สุดท้ายแล้วการขอโทษที่มากไปและไม่ได้ออกมาจากใจจริงๆ มันก็จะกลายเป็นเพียงคำพูดติดปาก หรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาตอบกลับแบบอัตโนมัติ (Automatic Reaction)
โดยการที่เราเผลอหลุดคำขอโทษออกไป จริงๆ แล้วมีสาเหตุมาจากความวิตกกังวลหรือการพยายามป้องกันตัวเองมากเกินไป ดังที่ มาร์ติน แอนโทนี (Martin Antony) นักบำบัดความวิตกกังวล แห่งมหาวิทยาลัยไรเออร์สัน (Ryerson University) กล่าวว่า “คำขอโทษที่ออกมาคือพฤติกรรมที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันบุคคลจากความเกลียดชัง หรือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น”
พฤติกรรมการป้องกันตัวเองนี้ อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาทางสมองได้ โดยทาง ซูซาน ไฮต์เลอร์ (Susan Heitler) นักจิตวิทยาคลินิก กล่าวว่า การขอโทษมากเกินไป อาจเกิดขึ้นจากสมองส่วนอะมิกดาลาทำงานมากกว่าปกติ (สมองส่วนควบคุมอารมณ์) ส่งผลให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งทางกายและวาจา จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
ดังนั้น เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกเริ่มไม่ปลอดภัย บุคคลนั้นจะแสดงการขอโทษออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่รุนแรง และหนีจากความวิตกกังวลที่อาจถูกมองในทางที่ไม่ดี เพียงเพราะคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดเสมอ
แต่จะดีกว่าไหม หากเราหยุดให้ความสำคัญกับการขอโทษที่บ่อยเกินไปและไม่มีเหตุผลสมควรที่จะเอ่ยมัน แล้วหันมาพิจารณาถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง และหยุดพฤติกรรมการตอบกลับแบบอัตโนมัติของเรา ด้วยวิธีการดังนี้
1 – รู้ว่าเมื่อใดควรขอโทษ: หากเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ได้เป็นความผิดของเราโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ แต่หากเราฝ่ายผิดจริง การกล้ายอมรับ และกล้าที่จะขอโทษก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
2 – กล้าที่จะปฏิเสธไปตรงๆ: บ่อยครั้งที่เรามักจะเอ่ยคำขอโทษ ก่อนที่จะปฏิเสธคำเชิญหรือคำขอของผู้อื่น เพียงเพราะต้องการลดความไม่พอใจของเขาลง แต่จริงๆ แล้วการปฏิเสธด้วยเหตุผลตรงๆ เลยก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราขอโทษน้อยลง
3 – เลือกใช้คำอื่นแทนคำว่า ‘ขอโทษ’: เช่น ‘ขอบคุณที่รับฟัง’ แทนการใช้ ‘ขอโทษที่บ่น’ เท่านี้การใช้คำขอโทษจนติดปากก็จะสามารถลดลงได้
4 – พิจารณาตัวเองมากขึ้น: การรู้จักประเมินพฤติกรรมและดูแนวโน้มว่าเราขอโทษมากไปหรือเปล่า นับว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เราสังเกตสถานการณ์อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะโพล่งคำว่า ‘ฉันขอโทษ’ ออกไป
วิธีหยุดโฟกัสกับการขอโทษเหล่านี้ มิได้มีจุดประสงค์ให้คนเราละเลยการขอโทษที่เป็นหนึ่งในมารยาทขั้นพื้นฐาน เพียงแต่เป็นการเปิดมุมมองอีกด้านที่เราอาจจะหลงลืม จนติดนิสัยการพูดขอโทษ ฉะนั้นการรู้จักขอโทษในสถานการณ์ที่เหมาะสม จึงเป็นการช่วยลดความวิตกกังวล และทำให้เราห่างจากการใช้ชีวิตที่รู้สึกผิดตลอดเวลาได้