สัญญาณเตือน หมดยุค’เพื่อไทย’ ลูกจ่อพ้นตำแหน่ง-พ่อส่อติดคุก
เรื่อง คะแนนนิยม เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะล่าสุดสวนดุสิตโพลได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเรื่องที่เรียกเสียงฮือฮาได้คือ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ประชาชนคิดว่ามีบทบาทโดดเด่นในเดือนกรกฎาคม 2568
เพราะคะแนนของมาดามอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วงลงไปที่ลำดับ 3 ในฝั่งพรรครัฐบาล โดยลำดับที่ 1 คือท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) และลำดับที่ 2 คือ อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด “วราวุธ” และ “ภูมิธรรม” ขึ้นเป็นที่ 1 และ 2 เพราะต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ “ท็อป” ได้คะแนนนิยมเยอะขึ้น เพราะคลิปวิดีโอแถลงการณ์ประณามกัมพูชาโจมตีไทย ที่ได้ออกมาพูดด้วยตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารไปถึงต่างชาติด้วยท่าทางที่ดุดัน จริงจัง ได้คะแนนความนิยมไปถึง 44.05 เปอร์เซ็นต์
ส่วน “ภูมิธรรม” ที่ได้รับความนิยมในช่วงนี้ เพราะเป็นหนังหน้าไฟที่ต้องบริหารความสัมพันธ์ของเราสองสามคน ทั้งตระกูลชินกับตระกูลฮุน ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ได้รับความนิยม 29.85 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ “อิ๊งค์” ถึงแม้จะได้คะแนนนิยมน้อยลง เหลือเพียงแค่ 26.10 เปอร์เซ็นต์ เพราะแทบจะลอยตัว เนื่องจากตอนนี้ก็ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แถมจะเดินหน้าทำอะไรก็ทำไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควร ฉะนั้น การอยู่เฉยๆ ของเธออาจจะกลายเป็นการช่วยรัฐบาลที่ดีที่สุด
ดูแล้วคะแนนนิยม “แพทองธาร” จะกู้ก็กลับมายาก เพราะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่ชาวบ้านบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าของขายไม่ได้ มีแต่คนขาย ไม่มีคนซื้อ เศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ยังไม่มีวิธีช่วยเหลือ
ล่าสุด นายกฯ อิ๊งค์ ไปเยี่ยมศูนย์พักพิงที่ จ.สุรินทร์ เจอชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา บุกถามว่า “ทำไมใจร้ายแท้"
วันต่อมา มาดามแพ ลงพื้นที่ที่ จ.น่าน ก็เจอดี โดนชาวบ้านบุกตะโกนด่าต่อหน้า "อุ๊งอิ๊งขายชาติ!" เมื่อโดนตำรวจลากไปทำให้ชาวบ้านดังกล่าวไม่พอใจ ตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ว่า "ทำไมถึงกันออก อะไรกันหนักหนา ทำไมประชาชนถึงไม่มีสิทธิ์พูด ก็มันขายชาติ"
ส่วนประเด็นที่ไม่น่าให้อภัยคือเรื่องคลิปเสียงหลุดที่สนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เป็นเหตุทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “นายกฯ” หยุดปฏิบัติหน้าที่
เรื่องที่เป็นจุดอ่อนโดนวิจารณ์มากที่สุดคือเรื่องการสื่อสาร และเมื่อกลับไปดูที่ต้นเหตุก็เข้าสำนวนโบราณว่า หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก ในเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อนายกฯ หรือบิดาพรรคเพื่อไทย ไม่เล่นบทเข้มเหมือนตอนเป็นนายกฯ ทำให้หางอย่าง “ภูมิธรรม” “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.การต่างประเทศ เล่นบทตั้งรับลูกเดียว สร้างความไม่พอใจให้กับคนในสังคม ว่าเหตุใดประเทศไทยจึงตั้งรับเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ประเทศไทยเป็นฝ่ายถูกเขมรเปิดฉากโจมตีก่อน
บทบาทรัฐบาลเรื่องปัญหาชายแดน แทนที่จะทำวิกฤตให้เป็นโอกาสในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา สร้างความเข้มแข็งให้เห็นว่ารัฐบาลเอาอยู่ ไม่ยอมให้ประเทศใดรุกรานหรือใครเอาเปรียบ แต่กลายเป็นว่าทำโอกาสเป็นวิกฤตเสียอย่างนั้น
มิหนำซ้ำ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทั้งรัฐบาลและตัวของนายกฯ ได้รับคะแนนนิยมต่ำลงคือ การมีบทบาทของ ทักษิณ ที่เห็นได้จากการออกงานครั้งล่าสุดลงพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้อพยพ เทศบาลเดชอุดม จ.อุบลราชธานี ไม่วายมีดรามาทั้งเรื่องแจกเงิน ที่ถูกสงสัยว่าเป็นเงินจากไหน หรือ การร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร ไม่รู้จักกาลเทศะ แถมคนต้นเรื่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น สส.อุบลราชธานีของพรรคเพื่อไทย ที่ลงพื้นที่ไปด้วย
ตอนนี้แค่ชื่อของพรรคเพื่อไทย ดูแล้วต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง สส.ที่เหลือต้องหาทางเอาตัวรอด แถมถ้าศาล รธน.สั่งให้ “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง แคนดิเดตนายกฯ คนถัดไปที่มีชื่อคือ ชัยเกษม นิติสิริ ที่ถึงแม้จะพร้อมรับตำแหน่ง แต่ปฏิเสธเรื่องสุขภาพไม่ได้จริงๆ และจะถูกตั้งคำถามว่าพาพรรคไปรอดหรือไม่
จากเหตุการณ์ทั้ง คดีพ่อ-ลูก ปัญหาชายแดนไทย-เขมร เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้หมดยุคของเพื่อไทย เพราะดูแล้วมีแต่เรื่องเสื่อมเสีย หาทางออกไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำได้ไม่เต็มที่
หัวเรือของพรรคเพื่อไทย นายกฯ อิ๊งค์ ยืนอยู่บนหน้าผา รอเวลาศาล รธน.นัดตัดสินออกจากตำแหน่งจากคดีคลิปฉาวเร็วๆ นี้ ส่วน ทักษิณ ผู้นำทางจิตวิญญาณเพื่อไทย ในคดีป่วยทิพย์ ชั้น 14 ที่ศาล รธน.นัดตัดสินในวันที่ 9 ก.ย. ไม่น่ารอด
เรื่อง คะแนนนิยม ไม่ต้องคาดการณ์ว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ สส.กี่คน ดูที่การเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7 ถ้าแพ้ก็ตายคาบ้าน แสดงว่าเพื่อไทยสิ้นมนตร์ขลัง เลือกตั้งใหญ่แพ้ขาดแน่นอน จากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น!.