AIMC รับความเชื่อมั่นตลาดทุนสั่นคลอน ฉุด Thai ESGX พลาดเป้า
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า การลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา
โดยสิทธิประโยชน์ที่จูงใจในรอบนี้ คือ ผู้ลงทุนใหม่จะได้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และผู้ที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะได้ลดหย่อนภาษีสูงถึงไม่เกิน 500,000 บาท เป็นต้น คาดการณ์ว่าทั้งเม็ดเงินลงทุนใหม่และการสับกองจาก LTF อาจทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
จากการตวรจสอบข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 68 พบว่า เม็ดเงินลงทุนของ Thai ESGX โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เชื่อว่ายอดเงินลงทุนโดยรวม ณ วันที่ 30 มิ.ย.68 จะมากกว่า 20,000 ล้านบาท แน่ๆ เพียงแต่เมื่อนับรวมกับ FTA แล้วจะมากกว่า 25,000 ล้านบาทด้วยหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป
"เบื้องต้นคาดว่าการโอนเม็ดเงินลงทุนก้อนสุดท้ายเข้าสู่ระบบไม่เกินสุดสัปดาห์นี้ ดังนั้นมูลค่าการลงทุนขณะนี้ยังบอกรายละเอียดที่ชัดเจนไม่ได้ ตัวเลขโดยสรุปอาจต้องรอไปก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเม็ดเงินลงทุนใน Thai ESGX อาจไม่เป็นไปตามที่เป้าหมายวางไว้ ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ลดลง"
ตลาดหุ้นไม่เอื้อลงทุน
สาเหตุที่ทำให้เม็ดเงินในกองทุน Thai ESGX พลาดเป้าหมาย หลักๆ เป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน ตลาดหุ้นไม่เอื้อต่อการลงทุน และมีการปรับตัวลดลง ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลงไปอีก
ที่ผ่านมาสังเกตเห็นว่า กรณีการสับกองเงิน LTF จากที่เคยบอกว่าคงเหลือประมาณ 200,000 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้ออกไปจากตลาดหุ้นไทย แต่มีการสับกองมา Thai ESGX เพียงแค่ 10% เท่านั้น จากข้อมูลทางสถิติแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ลงทุนในระดับหลักแสนบาทขึ้นไปมีอยู่มาก
แต่เมื่อมีการสับกองจริงๆ กลับโยกเงินมาไม่เต็มจำนวน โดยเรื่องนี้มองว่าอาจเป็นผลจากความซับซ้อนในขั้นตอนการโยกเงินสับกอง การกระจายการลงทุนไปยังหลายๆ ที่ ทำให้นักลงุทนอาจจำไม่ได้ จนเป็นผลให้โยกเงินสับกองได้ไม่ครบทั้งหมด
สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เข้ามาในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ตลาดเกิดความไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องบอกว่าที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง พยายามระดมมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยพยุงแล้ว แต่สุดท้ายตลาดจะตอบรับหรือไม่ ก็ขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เข้ามาด้วย ต้องยอมรับว่าในตอนนี้สภาพแวดล้อมการลงทุนดูไม่ปลอดโปร่งเลย
วายุภักษ์เงินเหลืออื้อ
สำหรับกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) นั้น ปัจจุบันยังมีเงินลงทุนในมืออยู่อีกจำนวนมาก แม้จะถูกหลายฝ่ายเข้าใจว่ากองทุนวายุภักษ์เป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ก็เป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า กองวายุภักษ์ก็มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ให้กับผู้ลงทุนอย่างสูงสุดด้วยเช่นเดียวกัน
"เมื่อเห็นแล้วว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทวนกระแสน้ำ เพียงแต่การลงทุนในสถานการณ์เช่นนี้การเก็บเล็กผสมน้อยน่าจะเหมาะสมที่สุด ยอมรับว่าการลงทุนมีอยู่ทุกๆ วัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วจะจังหวะ หากหุ้นสตอรี่ดี ต่ำ Book อิงเศรษฐกิจในประเทศ ผลกระทบน้อยที่สุด ก็น่าลงทุน ถ้าลงมาแรง ปรับตัวแรง เราก็เข้าไปรับ"