ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีฟิลิปปินส์ 19% บีบมาร์กอสเก็บภาษีสหรัฐ 0%
บลูมเบิร์ก รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับฟิลิปปินส์ โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์ไว้ที่ 19% ซึ่งเป็นข้อตกลงล่าสุดก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 สิงหาคม บีบให้ผู้นำฟิลิปปินส์ยอมยกเว้นภาษีให้กับสินค้าสหรัฐ
เดิมทรัมป์กำหนดอัตราภาษีนำเข้า 17% ให้กับฟิลิปปินส์พันธมิตรของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน แต่ถูกระงับไว้ชั่วคราวเพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา จากนั้นเมื่อต้นเดือนเขาก็ขู่ว่าจะขึ้นภาษีเป็น 20%
ทรัมป์ประกาศข้อตกลงดังกล่าวผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคาร ( 22 ก.ค. )หลังจากการประชุมกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ การลดภาษีลงเล็กน้อยนี้ตอกย้ำถึงความยากลำบากที่ผู้นำต่างประเทศกำลังเผชิญ ขณะที่พวกเขาพยายามโน้มน้าวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ผ่อนปรนภาษีนำเข้าของประเทศ
“ฟิลิปปินส์จะเปิดตลาดเสรีกับสหรัฐฯ และไม่มีภาษีนำเข้าใดๆ ฟิลิปปินส์จะจ่ายภาษีนำเข้า 19% นอกจากนี้ เราจะร่วมมือกันทางทหาร” ทรัมป์โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคาร
ประธานาธิบดีไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้านี้
ทรัมป์ ได้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าสูงจากคู่ค้าหลายสิบประเทศในเดือนเมษายน ก่อนจะระงับการขึ้นภาษีนำเข้าอย่างรวดเร็วเป็นเวลา 90 วัน ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากตลาด เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวทำให้สหรัฐฯ ได้ข้อสรุปข้อตกลงเพียงไม่กี่ฉบับ และทรัมป์กลับเลือกที่จะกำหนดอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศและกลุ่มประเทศต่างๆ เพียงฝ่ายเดียวก่อนถึงเส้นตายใหม่ในวันที่ 1 สิงหาคม
แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ และที่ปรึกษาของเขาจะกล่าวในตอนแรกว่ามีแผนที่จะเจรจาควบคู่กับคู่ค้า แต่ทรัมป์กลับแสดงความอดทนน้อยต่อการเจรจากันไปมา โดยกล่าวว่าเขาต้องการกำหนดอัตราภาษีสำหรับประเทศเศรษฐกิจอื่นๆ ฝ่ายเดียว
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้ส่งจดหมายจำนวนมากเพื่อกำหนดระดับภาษีนำเข้า และยังเดินหน้าจัดเก็บภาษีเฉพาะอุตสาหกรรม ซึ่งจะมุ่งเป้าไปที่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ และยารักษาโรค ในขณะที่การเจรจากับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึงสหภาพยุโรปและอินเดียยังคงดำเนินต่อไป ทรัมป์กล่าวว่าประเทศขนาดเล็กกว่าประมาณ 150 ประเทศจะได้รับผลกระทบด้วยอัตราภาษีแบบเหมารวมระหว่าง 10-15%
สัญญาณลบกับคู่ค้ารายอื่นๆของสหรัฐ
มาร์กอส จูเนียร์ เป็นผู้นำต่างประเทศคนล่าสุดที่เดินทางเยือนทรัมป์เพื่อหวังลดภาษีนำเข้า และพยายามย้ำถึงความเป็นพันธมิตรอันยาวนานของประเทศกับสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้นจากตลาดส่งออกชั้นนำของฟิลิปปินส์
แต่การที่ไม่สามารถลดภาษีนำเข้าได้มากขึ้น ชี้ให้เห็นว่านโยบายภาษีของทรัมป์ทำให้พันธมิตรของสหรัฐฯ ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อความพยายามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะปรับเปลี่ยนกระแสการค้าโลก แม้ว่าเขาจะต้องการสงบศึกทางการค้าในวงกว้างกับจีน ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของประเทศก็ตาม
ก่อนการประชุมระหว่างทรัมป์และมาร์กอส เจ้าหน้าที่การค้าของฟิลิปปินส์ได้เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงกับฝ่ายตน
สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้ากับฟิลิปปินส์ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว โดยมียอดการค้ารวม 2.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ ฟิลิปปินส์เคยกล่าวว่าไม่สามารถตั้งภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ให้กับสหรัฐฯ ได้ เหมือนอย่างที่ทรัมป์กล่าวว่าเวียดนามและอินโดนีเซียได้ทำไปแล้ว เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศ แต่กำลังวางแผนที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ รวมถึงถั่วเหลืองและเนื้อสัตว์แช่แข็ง และเพิ่มการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์มะพร้าวและมะม่วงไปยังสหรัฐฯ