จุลพันธ์ ชี้การเมืองไม่ถึง "ทางตัน" มั่นใจงบ 1.15 แสนล.ดัน GDP โตเกิน 2%
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย : โจทย์ใหญ่รัฐบาล?" โดยยืนยันว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่กลไกรัฐธรรมนูญยังทำหน้าที่ได้เต็มที่ และสถานการณ์ในขณะนี้ "ไม่ใช่ทางตันทางการเมือง" อย่างที่หลายฝ่ายกังวล
การขับเคลื่อนประเทศต้องอาศัย ความเชื่อมั่น เป็นพื้นฐาน และเรายังเดินต่อได้ เพราะกลไกรัฐธรรมนูญไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้ โดยคณะรัฐมนตรียังทำงานได้เต็มที่ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทน และสามารถบริหารงานต่อได้ตามปกติ
ขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าเป็นภาวะทางตันจริง เพราะรัฐธรรมนูญยังมีช่องทางรองรับ เช่น หากศาลมีคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ พรรคเพื่อไทยก็ยังสามารถเสนอชื่อบุคคลอื่นที่อยู่ในบัญชารายชื่อนายกรัฐมนตรี เช่น นายชัยเกษม นิติสิริ เข้าสู่กระบวนการโหวตได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
นายจุลพันธ์ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ หรือสลับขั้วทางการเมือง แต่รัฐบาลยังมีเสียงเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร และสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ต้องพึ่งพาฝ่ายค้าน วันนี้เรายังไม่มีเหตุการณ์ใดที่ต้องนำไปสู่การยุบสภาหรือเปลี่ยนแปลงขั้วการเมือง สิ่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยมือจากพวงมาลัย เพราะปัญหาประชาชนยังรอการแก้ไข
แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะมีความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่นายจุลพันธ์เน้นย้ำคือ การเดินหน้าเศรษฐกิจยังคงเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลในเวลานี้ โดยยืนยันว่า รัฐบาลยังตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ที่ 5% แม้จะยอมรับว่า เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย และมีโอกาสยากที่จะบรรลุผลเต็ม 100% หากถ้าได้ถึง 2% ก็ดีแล้ว อย่างน้อยเรายังพยายามขับเคลื่อน นโยบายยังไม่หยุด
พร้อมกันนี้ชี้ว่า งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว จะนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบน้ำ และสาธารณูปโภคพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80–90% ของงบทั้งหมด ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการจ้างงานในระดับท้องถิ่น และช่วยเพิ่มการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ขณะนี้ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าเป็นภาวะทางตันจริง เพราะรัฐธรรมนูญยังมีช่องทางรองรับ เช่น หากศาลมีคำวินิจฉัยออกมาในทางลบ พรรคเพื่อไทยก็ยังสามารถเสนอชื่อบุคคลอื่นที่อยู่ในบัญชารายชื่อนายกรัฐมนตรี เช่น นายชัยเกษม นิติสิริ เข้าสู่กระบวนการโหวตได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
นายจุลพันธ์ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายให้ตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ หรือสลับขั้วทางการเมือง แต่รัฐบาลยังมีเสียงเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร และสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ต้องพึ่งพาฝ่ายค้าน วันนี้เรายังไม่มีเหตุการณ์ใดที่ต้องนำไปสู่การยุบสภาหรือเปลี่ยนแปลงขั้วการเมือง สิ่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยมือจากพวงมาลัย เพราะปัญหาประชาชนยังรอการแก้ไข
แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะมีความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่นายจุลพันธ์เน้นย้ำคือ การเดินหน้าเศรษฐกิจยังคงเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลในเวลานี้ โดยยืนยันว่า รัฐบาลยังตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ที่ 5% แม้จะยอมรับว่า “เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย” และมีโอกาสยากที่จะบรรลุผลเต็ม 100% หากถ้าได้ถึง 2% ก็ดีแล้ว อย่างน้อยเรายังพยายามขับเคลื่อน นโยบายยังไม่หยุด
พร้อมกันนี้ชี้ว่า งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 115,000 ล้านบาท ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว จะนำไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบน้ำ และสาธารณูปโภคพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80–90% ของงบทั้งหมด ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการจ้างงานในระดับท้องถิ่น และช่วยเพิ่มการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ