ดาวโจนส์ร่วงกว่า 330.30 จุด หลังนักลงทุนรอผลเจรจาการค้า
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลบเช่นกัน เนื่องจากกระแสตอบรับผลประกอบการของบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) และเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) แผ่วลงในช่วงท้าย
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,130.98 จุด ลดลง 330.30 จุด หรือ -0.74%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,339.39 จุด ลดลง 23.51 จุด หรือ -0.37% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,122.45 จุด ลดลง 7.23 จุด หรือ -0.03%
เมื่อพิจารณาตลอดทั้งเดือนก.ค. ดัชนีดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียง 0.08% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.17% และดัชนี Nasdaq บวก 3.7%
หุ้นไมโครซอฟท์ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.9% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาด โดยในระหว่างวัน มูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของไมโครซอฟท์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทรายที่ 2 ที่มีมาร์เก็ตแคปทะลุระดับดังกล่าวต่อจากอินวิเดีย (Nvidia)
หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ทะยานขึ้น 11.25% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 2/2568 นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 3 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ตลาดหุ้นนิวยอร์กขานรับผลประกอบการของไมโครซอฟท์และเมตาในช่วงแรก ก่อนที่ตลาดจะอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. รวมทั้งความกังวลต่อการที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นจากประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงบราซิล
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 2.8% ตามด้วยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.73% ส่วนหุ้นบวกนำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น 2.1% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 0.6%
หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตยาร่วงลง หลังจากทำเนียบขาวเปิดเผยว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ 17 แห่ง เพื่อเร่งรัดให้มีการปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์สำหรับชาวอเมริกัน ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี NYSE Arca Pharmaceutical Index ร่วงลง 2.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. และเป็นการลดลงติดต่อกัน 4 วันทำการ
หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐฯ และหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 6.2% และ 4.5% ตามลำดับ และเป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.8% ในเดือนพ.ค.
หลังการเปิดเผยดัชนี PCE นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 สัปดาห์ แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้ (1 ส.ค.) รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ จะขยายเวลาในการเจรจาการค้ากับเม็กซิโกออกไปอีก 90 วัน เพื่อปูทางสำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ