อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฟันเฟืองเศรษฐกิจไทย เดินหน้าสู่ยุค Circular Economy – ESG
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ถือเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทในการแปรรูปวัตถุดิบพื้นฐานอย่างก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ถ่านหิน แร่ธาตุ พืชผลทางการเกษตร และไขมันสัตว์ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ยารักษาโรค เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงชิ้นส่วนยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้มากถึง 10–25 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการนำวัตถุดิบไปใช้ในรูปแบบเชื้อเพลิงขั้นต้นเพียงอย่างเดียว ขณะที่วัตถุดิบชีวภาพ เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และปาล์มน้ำมันสามารถนำไปต่อยอดสู่การผลิตพลาสติกชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากถึง 40 เท่า
พัฒนาการ "อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย"
จุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย เริ่มต้นในช่วงปี 2482–2488 จากภาวะขาดแคลนน้ำมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันราคาแพง รัฐบาลจึงเริ่มส่งเสริมการสำรวจปิโตรเลียมในทะเล ในปี 2514 และประสบความสำเร็จในการค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ในปี 2516 นำไปสู่การจัดตั้ง “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ในปี 2521 เพื่อดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ และวางรากฐานความมั่นคงด้านพลังงาน ก่อนต่อยอดสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาล
ในช่วงปี 2523 ไทยเริ่มก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นฝั่งที่จังหวัดระยอง และต่อท่อเข้าสู่โรงไฟฟ้าบางปะกงและพระนครใต้ ต่อมาในปี 2527 จึงเกิด “โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 1” เพื่อสกัดสารไฮโดรคาร์บอนหลัก เช่น C2 (อีเทน), C3 (โพรเพน), และ C4 (บิวเทน) ไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกและ LPG เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันศูนย์กลางการผลิตปิโตรเคมีของไทยตั้งอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง รวมกำลังการผลิตมากกว่า 35 ล้านตันต่อปี (ข้อมูลจาก PTIT ปี 2565)
การผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะได้แก่
คลื่นลูกที่ 1 (1st Wave 2516 – 2532): เริ่มจากการค้นพบก๊าซธรรมชาติ และมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มแทนการนำเข้า
ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 5 และ โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ระยะที่ 1
คลื่นลูกที่ 2 (2nd Wave 2533 – 2553): เปิดเสรีอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ปูทางสู่การส่งออก โดยขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แผนฯ ฉบับที่ 7 และโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ระยะที่ 2
คลื่นลูกที่ 3 (3rd Wave 2554 – ปัจจุบัน): เป็นยุคของการรวมกลุ่มโรงงานปิโตรเคมีแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยอยู่ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 11
คลื่นลูกใหม่ (New Wave 2560 – อนาคต): มุ่งเน้นการพัฒนาด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และความยั่งยืนภายใต้แผนฯ ฉบับที่ 12 และเขตพัฒนาพิเศษ EEC / EECi
ปัจจุบันจังหวัดระยองได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศ
มาบตาพุด จ.ระยอง เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สร้างรายได้สะสมมากกว่า 9 แสนล้านบาท นับตั้งแต่การเปิดดำเนินงานของโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 1 (GSP 1) ในปี 2527 ปัจจุบันไทยมีโรงแยกก๊าซธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 6 หน่วย ได้แก่
- GSP 1–3, 5 และ 6 ตั้งอยู่ที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง
- GSP 4 ตั้งอยู่ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช
ณ ปี 2565 ไทยมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีรวม 36 ล้านตันต่อปี โดยกลุ่ม ปตท.ครองสัดส่วน 51% โดยมี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) เป็นแกนหลัก คิดเป็น 39%
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยมีความเชื่อมโยงกับหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ พลาสติก ไปจนถึงวัสดุก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากสารตั้งต้นกลุ่มโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ เช่น เอทิลีน โพรพิลีน เบนซีน โทลูอีน และไซลีน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการผลิตขั้นกลางและขั้นปลาย จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงในภาคธุรกิจและครัวเรือน
จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นหนึ่งในกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาและหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
แม้ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งความผันผวนของราคาพลังงาน ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้อุตสาหกรรมนี้ต้องเร่งปรับตัวสู่แนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) และ ESG อย่างจริงจัง เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน เช่น ปรับใช้วัตถุดิบรีไซเคิลหรือวัตถุดิบที่ง่ายต่อการรีไซเคิล ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการลดปริมาณของเสีย การประหยัดและอนุรักษ์พลังงาน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุใช้งานได้นานขึ้น
รัฐบาลไทยได้กำหนดให้โมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมลดการใช้ทรัพยากร นำวัตถุดิบกลับมาใช้ซ้ำ เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ
Ellen MacArthur Foundation ระบุว่า หากทั่วโลกนำหลัก Circular Economy มาใช้ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 1 หมื่นล้านตันภายในปี 2050 ขณะที่ผลสำรวจพบว่า ลูกค้ากว่า 20% ยินดีจ่ายแพงขึ้นกว่า 10% เพื่อซื้อสินค้ายั่งยืน และคนรุ่นใหม่กว่า 40% เลือกทำงานกับบริษัทที่ให้ความสำคัญด้าน ESG
การดำเนินงานลักษณะนี้จะช่วยให้องค์กรเข้าถึงและใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีภาพลักษณ์และการดำเนินงานที่ดีร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ เช่น Green Finance ได้ นอกจากนี้การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถลดปริมาณของเสียและขยะจากการดำเนินงาน จะช่วยลดต้นทุนขององค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้มีโอกาสสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป