ยิ้มเยาะ-หัวเราะ-ร้องไห้
ทักษิณฉีกยิ้มร่าลงจากศาล เมื่อวาน (๒๒ ส.ค.๖๘)
เผยเขี้ยวแหลมคมในปากสะท้อนแสงขาววับ น่าสะพรึงทั้งคนตาบอดและตาดี
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า “คดีหมิ่นสถาบัน”
นายชนะ ศาลยกฟ้องทุกข้อหา!
……………………………………..
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่
โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอแล้ว
เห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน
แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่า คลิปวิดีโอเป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง
จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอ เป็นจำเลย
พยานหลักฐานโจทก์ จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี
ตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย
ในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้น เป็นการพูดหรือแสดง หรือพาดพิง หรือทำให้เข้าใจได้ว่า
เป็นการกล่าวถึง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙” อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่
เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่า การใส่ความนั้น ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่า บุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร
หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนการดูหมิ่น ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว
อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า
เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่
เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙” โดยตรง
และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ ๓ ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน
และยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย
เห็นว่า พยานโจทก์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา
ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่า เป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง
พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ
ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า
ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น
ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ
ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์
ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์
พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น
ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙” ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร
พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดยเจตนาหมายถึง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙”
หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้ว จะเข้าใจได้ว่าหมายถึง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙” ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง
สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้าย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙”
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้.
สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่
เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้.
……………………………………..
ก็ยินดีกับ “พ่อนายกฯ” ด้วย!
ดูตามรูปคดีแล้ว อัยการคงไม่อุทธรณ์ นั่นหมายความว่า ขั้นตอนต่อไป ทักษิณคงยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่ง “ห้ามออกนอกประเทศ”
จะบินปร๋อไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ?
ยังหรอก ต้องรอ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วันที่ ๒๙ สิงหา.ก่อน ว่าจะมีคำวินิจฉัยลูกสาว “นายกฯ แพทองธาร” ในคดีคลิปสนทนาฮุน เซนว่าอย่างไร
จะได้อยู่เป็นนายกฯ ให้ประชาชน “ส่ายหัว” ต่อไป
หรือต้อง “ตกเก้าอี้”
เพราะความซื่อสัตย์สุจริตไม่เป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง!?
ฉะนั้น ไม่ต้องห่วงว่าทักษิณจะรีบบินไปเยี่ยม “ฮุน เซน” เพื่อนเลิฟที่เขมรวันนี้-วันพรุ่งหรอก ยังไงๆ ก็ต้องอยู่เป็นขวัญกำลังใจให้ลูกสาวก่อน
เสร็จจากคดีลูกสาว ๒๙ สิงหา.แล้ว ยังมีนัดกับ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง” อีกในวันที่ ๙ กันยา.
คดี “ป่วยทิพย์” ชั้น ๑๔ นั่นแหละ เป็นเรื่องว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์
โดยศาลฯ เปิดไต่สวน “การบังคับโทษจำคุก” แก่นายทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่?
โดยต้นเหตุมาจากเรื่องป่วยของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ นั่นแหละว่า
ที่ไม่ต้องนอนคุก อ้างป่วย ๔-๕ โรครุนแรงปางตาย แถมเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หมอราชทัณฑ์รักษาไม่ได้
ต้องส่งไปนอนห้อง รอยัลสวีท ชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจ ให้แพทย์ที่นั่นรักษา
หมอ รพ.ตำรวจ รักษานานถึง ๖ เดือน จนได้เลื่อนขั้น-เลื่อนตำแหน่งปรู๊ดปร๊าด แต่โรคที่รุมเร้าจะเอาชีวิตทักษิณก็ไม่หายซักที
แต่พอราชทัณฑ์ประกาศ “ทักษิณได้รับพักโทษ” ให้กลับไปใช้บ้านแทนคุกได้เท่านั้นแหละ
เข้าตามตำราที่ว่าเปี๊ยบ “ขามาเหมือนห่าจะกิน แต่ขาไปเหมือนไก่จะบิน”
ทักษิณหายจากทุกโรคฉับพลัน ปานได้อม “โอสถแท่งทอง”ทั้งดุ้น!
การไต่สวน ดร.วิษณุ เครืองาม “เจ้าประจำ” เป็นพยานฝ่ายจำเลยเป็นปากสุดท้าย ก็สิ้นสุดกระบวนการไต่สวน
“ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง” จะมีคำสั่งคดีนี้ ในวันที่ ๙ กันยา.
โดยศาลมีคำสั่งให้นายทักษิณ จำเลย และ “นายมานพ ชมชื่น” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เข้าฟังคำสั่ง ในวันนั้นด้วย เวลา ๑๐.๐๐ น.
นี่…เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทักษิณยังบินปร๋อไปไหนไม่ได้!
ต้องจำกันให้แม่นและเข้าใจกันให้ชัดๆ นะ….
นี่ใม่ใช่การรื้อฟื้นคดีเก่าของทักษิณมาตัดสินใหม่ หากแต่ว่า โทษจำคุก ๑ ปีทักษิณนั้น คนทั้งเมืองเขาสงสัยกันว่า
“การบังคับโทษจำคุก” ทักษิณ นั้น เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่?
เพราะโทษคุก ๑ ปี แต่ไม่เห็นทักษิณติดคุกซักวัน เข้าคุกปุ๊บ ก็อ้างป่วยร้ายแรงไปนอนรอยัลสวีท ชั้น ๑๔ ปั๊บ จนถึงวันได้รับพักโทษ กลับไปนอนจันทร์ส่องหล้า
แพทย์-ราชทัณฑ์ น่าจะอำนวย “ป่วยทิพย์” เพื่อไม่ต้องเข้าคุกละมั้ง?
ศาลฯ ท่านก็เลยไต่สวน แสวงหาข้อเท็จจริงว่าป่วยจริง-ป่วยทิพย์ รวม ๗ นัด เรียกพยานบุคคลรวม ๓๑ ปาก ขึ้นเบิกความ
๙ กันยา.นี้…รู้กัน
ทักษิณจะต้อง “คืนคุก” หรือได้คืน “จันทร์ส่องหล้า”
๒๙ สิงหา.คดีลูก ๙ กันยา.คดีพ่อ
ตามสิทธิการิยะท่านว่า “ไม่น่ารอด” ทั้งพ่อ-ทั้งลูก!
-เปลว สีเงิน
๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๘
วันเสาร์ที่ปลายซอย