PTTGC ขาดทุนสุทธิ 3,616 ลบ. ตลาดปิโตรเคมีชะลอ-เดินหน้าลดต้นทุน
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แจ้งว่า ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 133,381 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2568 โดยปรับขึ้นจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามทิศทางตลาดโลก หักกลบด้วยราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ความไม่แน่นอนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศจากมาตรการทางภาษีตอบโต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกดดันต่อต้นทุนและความต้องการบริโภค
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเลียมสำเร็จรูปปรับตัวลดลง
สำหรับไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 6,083 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 13 จากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและมุ่งเน้นประสิทธิภาพที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้ GRM ปรับเพิ่มจาก 3.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาส 1/2568 เป็น 5.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2/2568
กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีนที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ เช่น คอนเดนเสทรีซิดิว แนฟทา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นหลัก หักกลบด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เบนซีนที่ปรับตัวลดลง
ผลประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และโพลิเมอร์ปรับลดลง เนื่องจากโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2/1 หยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีความได้เปรียบด้านต้นทุน โดยได้รับปริมาณก๊าซอีเทนที่ใช้ในการผลิตในสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน อัตรากำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 80 ส่วนราคาผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ปรับลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลต่อความกังวลของอุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงอุปทานส่วนเกิน ทำให้ผู้ผลิตในตลาดยังคงควบคุมอัตรากำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับตัวดีขึ้น โดยหลักจากการที่ Vencorex France และ Vencorex TDI เข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีและสิ้นสุดการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568
บริษัทฯ รับรู้รายการพิเศษจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด ได้แก่
ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) สุทธิเป็นขาดทุน 1,891 ล้านบาท โดยขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 32 ล้านบาท อีกทั้งกำไรสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 370 ล้านบาท และกำไรพิเศษจากผลต่างสุทธิจากการสิ้นสุดการเป็นบริษัทย่อย (Deconsolidation) ของ Vencorex France และ Vencorex TDI จำนวน 1,499 ล้านบาท นอกจากนี้ ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุน 17 ล้านบาท (ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน)
ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 3,616 ล้านบาท (-0.85 บาท/หุ้น)
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2568 เผชิญกับความท้าทายจากหลากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการ GDP โลกปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.0 (กรกฎาคม 2568) ซึ่งปรับลดจากระดับที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีที่สูงกว่า โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองประกอบด้วย
• ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งยังคงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก
• สถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงมาตรการทางการค้ากับจีน ซึ่งล้วนมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลก และเพิ่มระดับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
• การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเงินในหลายประเทศ อาจกระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจและพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทาน และสร้างความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐิโลกโดยรวม
กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น
บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568 อยู่ที่เฉลี่ย 69-73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยด้านอุปสงค์ปรับลดจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ด้านอุปทาน น้ำมันดิบกลุ่มโอเปกพลัสช่วยรักษาสมดุลของตลาด ขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากประเทศนอกกลุ่มโอเปก เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และกายอานา จะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานในตลาดลง
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโรงกลั่น บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ในปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย ด้านอุปสงค์คาดว่าจะยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า
บริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล (10 ppm) กับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15-18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 8-11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 9-12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินการบริหารจัดการรูปแบบการผลิตและสัญญาขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม โดยคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 90 เนื่องจากมีแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานตามกำหนดในช่วงไตรมาส 4/2568
สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2568 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 230-250 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องและความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า ด้านอุปทานคาดว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่ของพาราไซลีนและเบนซีนเพิ่มขึ้น
สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทา คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 150-170 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากปี 2567 จากอุปทานส่วนเกินในตลาด และระดับสินค้าคงคลังโดยเฉลี่ยที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติในปี 2567 บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 77
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ บริษัทฯ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนในปี 2568 จะอยู่ที่ 850-880 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 775-805 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากปี 2567 โดยคาดว่าการฟื้นตัวของอุปสงค์จะยังเป็นไปได้อย่างจำกัด จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศจีนและสหรัฐฯ ขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโพรพิลีนจากประเทศจีน
บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 86
กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 180-190 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากปี 2567 อุปสงค์ของฟีนอล อะซิโทน และบิสฟีนอลเอ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และความกังวลของมาตรการทางการค้า ด้านอุปทาน กำลังการผลิตใหม่ในประเทศจีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีผู้ผลิตบิสฟีนอลเอในญี่ปุ่นประกาศปิดกิจการไป
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 495-525 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยคาดว่าจะยังคงมีปัจจัยกดดัน ทั้งจากด้านอุปสงค์ที่ยังมีแรงกดดันจากมาตรการทางการค้า และด้านอุปทานที่มีหน่วยการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2568 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา
สำหรับผลิตภัณฑ์กรดเทเรฟทาลิกบริสุทธิ์ (PTA) คาดว่าส่วนต่างราคาจะปรับตัวลดลงจากปี 2567 เนื่องจากยังคงมีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด
กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์
แนวโน้มตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะอยู่ที่ 930-960 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากปี 2567 คาดว่าปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนำโดยประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความผันผวนและถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศจีน
ด้านอุปสงค์คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ยังคงถูกกดดันจากมาตรการทางการค้า บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 109
กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
คาดว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรม (Coating Resin) จะมีแนวโน้มเติบโตตาม GDP ของโลก แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันจากความกังวลของมาตรการทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมตลาดสินค้าปลายทาง เช่น กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมโลหะ