เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง 1% ครึ่งปีหลัง SCB EIC ชี้รากยาวถึงปี 69
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัว 1.8% จากเดิม 1.5% และปี 69 เพิ่มเป็น 1.5% จากเดิม 1.2% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก
โดยสอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 ที่ประกาศออกมา ขยายตัวได้ 2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ และจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลักในตลาดสหรัฐฯ ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้นบ้าง
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอาจขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึง 1% ซึ่งเป็นการชะลอลงมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปี 69 โดยแรงส่งหลักที่จะแผ่วลง ประกอบด้วย
- การส่งออกจะหดตัวแรง โดยเฉพาะหลังหมดผล Front-loading ในตลาดสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าไทยจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มเก็บจริง
- การท่องเที่ยวจะชะลอตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 68 เหลือ 32.9 ล้านคน และจะทยอยฟื้นตัวในปี 69 โดยความขัดแย้งบริเวณชายแดน อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวยังมีความท้าทายจาก Tourism war และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ชะลอลง
- การลงทุนภาคเอกชน แม้ขยายตัวดีในไตรมาส 2/68 แต่ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน ภาพการลงทุนจะชะลอลงในระยะข้างหน้า จากผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ
- แรงส่งภาครัฐแผ่วลง ตามการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้ และปัจจัยฐานต่ำในปี 67 เริ่มมีผลช่วยน้อยลง
SCB EIC ระบุอีกว่า ในระยะสั้นแม้อัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าไทยจะเหลือ 19% และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ และบรรเทาความกังวลผลกระทบต่อเกษตรกร และผู้ประกอบการจากการเปิดตลาดลงได้บ้างนั้น
แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย ที่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป ตลอดจนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วช่วงที่ผ่านมา หากเปรียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย
อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่ยังต้องติดตาม ประกอบด้วย
- สินค้าส่งออกที่มี Import content สูง เสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่ม 40%
- การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบ Margin ของผู้ประกอบการ
- การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น
ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก ส่วนหนึ่งจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงขึ้นมากจากอดีต ทำให้การพึ่งพา Growth model เดิมของไทยที่เติบโตด้วยการค้าโลก จะเป็นไปได้ยากขึ้น
นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก
โดยยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ
สำหรับการเปิดตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ ในเบื้องต้นคาดว่า ผลกระทบยังจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากภาครัฐอาจออกมาตรการกำหนดโควตากลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวมาก และปกป้องผู้ผลิตในประเทศ