แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี
สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ธปท.คาด สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด แต่ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี
สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังติดลบต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน แต่การหดตัวชะลอลงมาอยู่ที่ -0.9% YoY ในไตรมาสนี้ เทียบกับ -1.3% YoY ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยสินเชื่อโดยรวมที่หดตัวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (-6.2% YoY ใน 2Q68) และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัว (-0.1% YoY ใน 2Q68) ต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.7% YoY ในไตรมาส
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing loan: NPL หรือ Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ในไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับ ‘เพิ่มขึ้นเล็กน้อย’ มาอยู่ที่ 554.9 พันล้านบาท โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91% จากระดับ 2.90% ในไตรมาสก่อนหน้า
สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (SM หรือ stage 2) ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% จาก 6.97% ในไตรมาสก่อนหน้า
สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก
สุวรรณี ประเมินว่า การเติบโตของสินเชื่อน่าจะไม่ได้กลับมาขยายตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 หรือจ่อติดลบ 5 ไตรมาสต่อเนื่อง เหตุก่อนหน้านี้มีการก่อหนี้สะสมไปมากแล้ว (Build Up), ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงกระบวนการลดหนี้ภาคครัวเรือน (Deleveraging Process), ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่, และความต้องการ (Demand) ในการลงทุนใหม่ๆ ก็ปรับลดลง
สำหรับแนวโน้ม การเติบโตของสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 2568 อาจพลิกบวกได้ เหตุเริ่มเห็นอัตราการเติบโตของสินเชื่อเริ่มผงกหัวขึ้นมาแล้ว แม้จะติดลบอยู่ โดยถ้ามีแรงส่งมากพอ และถ้าภาคธุรกิจมีการปรับตัว (Transform) น่าจะเป็นปัจจัยบวกที่จะกลับมาผลักดันการเติบโตของสินเชื่อได้ รวมถึงถ้าภาคการผลิตสามารถผลิตสินค้าออกมาตามความต้องการและขายได้
สุวรรณี กล่าวอีกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลง 0.25% ไปสู่ระดับ 1.50% เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม อาจจะช่วยเพิ่มการเติบโตของสินเชื่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักน่าจะมาจากปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่า
โดยกล่าวว่า “หนึ่งสาเหตุหลักที่กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย มาจากภาวะการเงินตึงตัว ดังนั้น ธปท.จึงคิดว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยกลุ่มลูกหนี้ดอกเบี้ยลอยตัว โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งราว 70% เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว” สุวรรณี กล่าว
KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี
ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตามการรวบรวมข้อมูลสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทย (ไม่รวมเครือ) จำนวน 17 แห่ง หดตัว 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นับเป็นหดตัวยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 หรือติดลบนานสุดในรอบกว่า 20 ปี
ทั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลของ KResearch เป็นคนละฐานกับ ธปท. แต่มีแนวโน้มจะเป็นทิศทางเดียวกัน
ดร.กาญจนา อธิบายอีกว่า การหดตัวของสินเชื่อในช่วงนี้มาจากการทยอยชำระคืนหนี้ หลังจากในช่วงโควิด สินเชื่อเติบโตอย่างมาก
“ช่วงนี้ การชำระหนี้คืนค่อนข้างสูง แม้ยังมีการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด ทำให้ยอดการเติบโตของสินเชื่อติดลบ” ดร.กาญจนา ระบุ
นอกจากนี้ ยังพบว่า ในไตรมาสล่าสุด สินเชื่อยังติดลบแทบทุกผลิตภัณฑ์ โดยกลุ่มสินเชื่อที่ติดลบหนักที่สุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 คือ เช่าซื้อที่ลดลง 10.9% ซึ่งมีสัดส่วนที่ไม่ได้น้อยอยู่ที่ 6.9% ของสินเชื่อรวม โดยพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อมียอดคงค้างเกือบ 1 ล้านล้านบาท ทำให้ดึงการเติบโตของสินเชื่อทั้งระบบลง รองลงมาคือ กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ติดลบ 4.6% ซึ่งขนาดพอร์ตของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท
KResearch ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีนี้ที่ 0.6% จ่อติดลบต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกัน จากติดลบ 0.4% ในปี 2567
สำหรับแนวโน้มต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้ ดร.กาญจนากล่าวว่า น่าจะเป็นภาพคล้ายๆ กับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก เศรษฐกิจในภาพรวมมีความเสี่ยงเยอะ ทำให้ความต้องการสินเชื่ออาจไม่กลับมา เนื่องจาก ผู้กู้เองก็ต้องระมัดระวังไม่กู้เพิ่ม หากแนวโน้มการทำธุรกิจของตนเองยังไม่กลับมา นอกจากนี้ ในฝั่งสถาบันการเงินเองก็อาจจะพิจารณาดูความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้อยู่เหมือนเดิม โดยภาคธุรกิจบางส่วนอาจขอใช้สินเชื่อในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน อาจจะไม่ใช่เพื่อลงทุนระยะยาว