โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

AI ปลุกวิกฤตข่าวลวง Cofact + สูตร 3 ชั้น คือเกราะป้องกันทางดิจิทัลของคนไทย

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ยุค AI ข่าวปลอมแพร่เร็วเกินรับมือ Cofact และสูตรตรวจสอบ 3 ขั้น จึงกลายเป็นเกราะดิจิทัลที่คนไทยทุกคนต้องมี เพื่อหยุดผลกระทบทางการเมือง เศรษฐกิจ และสุขภาพ

ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถผลิตข้อความ ภาพ และวิดีโอได้เสมือนจริง ทำให้โลกดิจิทัลเต็มไปด้วยข่าวปลอมที่แพร่กระจายรวดเร็วเกินกว่ากลไกดั้งเดิมจะรับมือได้ การสร้างภูมิคุ้มกันข้อมูลจึงไม่ใช่เรื่องของนักข่าวหรือรัฐเท่านั้น แต่เป็นทักษะที่ประชาชนทุกคนต้องมี เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ

ข่าวปลอมในสังคมไทย ปัญหาที่ไม่อาจมองข้าม

ข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นประปรายในโลกออนไลน์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ส่งผลต่อการรับรู้ ความเชื่อ และพฤติกรรมของประชาชนในวงกว้าง ข้อมูลจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมระบุว่า ตั้งแต่ปี 2562 มีการคัดกรองข้อความออนไลน์มากกว่า 1,100 ล้านข้อความ และตรวจสอบข่าวปลอมเกือบ 7,000 เรื่อง ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงและความต่อเนื่องของปัญหา ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องเล็กน้อย แต่แทรกซึมอยู่ในประเด็นที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนโดยตรง

เมื่อพิจารณาจากหมวดหมู่ข่าวที่ถูกตรวจสอบมากที่สุด ได้แก่ ข่าวด้านนโยบายรัฐ สุขภาพ และภัยพิบัติ จะพบว่าล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาครัฐและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ข่าวลวงเรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่ทำให้เกิดความลังเลในการฉีดวัคซีน ส่งผลให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ ขณะเดียวกันในช่วงการเลือกตั้ง ข่าวปลอมเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองถูกเผยแพร่ในวงกว้างจนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สร้างความสับสนให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ความรุนแรงของข่าวปลอมยิ่งทวีคูณในช่วงวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของโรคโควิด-19 ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ประชาชนจำนวนมากอยู่ในภาวะที่ต้องการข้อมูลอย่างเร่งด่วน เมื่อเจอข่าวที่แชร์ต่อกันในโซเชียลมีเดียจึงมักเชื่อโดยไม่ทันตรวจสอบ การแพร่กระจายจึงเกิดขึ้นรวดเร็วในระดับที่เหนือกว่าความสามารถของรัฐหรือองค์กรใดๆ ที่จะรับมือได้ทันที

อีกปัจจัยที่ทำให้ข่าวปลอมยากต่อการควบคุมคือธรรมชาติของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ออกแบบมาเพื่อให้เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ถูกส่งต่อได้ง่าย ข่าวที่สร้างความกลัว ความโกรธ หรือความสงสัยจึงมีโอกาสถูกแชร์มากกว่าข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงที่นิ่งและเป็นกลาง นั่นหมายความว่ากลไกการแพร่ข่าวปลอมไม่เพียงเกิดจากผู้สร้างข่าว แต่ยังอาศัยพฤติกรรมการเสพสื่อของประชาชนเองเป็นเชื้อเพลิง

เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นได้ว่าข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงการสื่อสารผิดพลาด แต่เป็นโครงสร้างของปัญหาที่เชื่อมโยงกับความเข้าใจสาธารณะ ความน่าเชื่อถือของสื่อ และเสถียรภาพทางสังคมไทย การปล่อยให้ปัญหานี้ดำเนินไปโดยไร้กลไกป้องกันอาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชนกับสถาบันหลักของประเทศ

ภูมิคุ้มกันข่าวสารของคนไทยยังอ่อนแอ

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เผยตัวเลขที่น่ากังวล คนไทยเพียง 14.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีทักษะรู้เท่าทันสื่อในระดับสูง ขณะที่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันมากกว่าคนรุ่นอื่นถึงสองเท่า ช่องว่างนี้กลายเป็นดินดานให้ข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มปิดบนแอปพลิเคชัน LINE และ Facebook ที่การตรวจสอบทำได้ยาก

เมื่อพิจารณาร่วมกับความสามารถของเทคโนโลยีอย่าง deepfake และ chatbot อัตโนมัติที่สามารถสร้างข้อความหรือคลิปเสียงเลียนแบบบุคคลจริงได้อย่างแนบเนียน ยิ่งทำให้ผู้บริโภคไม่อาจพึ่งพาเฉพาะสื่อกระแสหลักหรือหน่วยงานรัฐเท่านั้น แต่ต้องกลายเป็น “ด่านหน้า” ของการตรวจสอบด้วยตัวเองในทุกการรับข้อมูล ข่าวปลอมที่เคยถูกแชร์แบบเล่นๆ กลับสามารถสร้างผลทางการเมือง เศรษฐกิจ และสาธารณสุขได้อย่างรุนแรงในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ตัวอย่างที่เห็นชัดคือช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อข่าวปลอมเรื่องวิธีรักษาและมาตรการภาครัฐถูกส่งต่อกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้สูงอายุ หลายครอบครัวต้องเผชิญความสับสนและตัดสินใจผิดพลาดจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เหตุการณ์นี้ย้ำชัดว่าผู้บริโภคไม่สามารถเป็นเพียง “ผู้รับสาร” อีกต่อไป แต่ต้องเป็นนักสืบข่าวที่มีทักษะการตรวจสอบอยู่ติดตัวตลอดเวลา

เหตุใดผู้บริโภคต้องกลายเป็นผู้ตรวจสอบ

แม้ประเทศไทยจะมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและหน่วยงานภาครัฐที่คอยตรวจสอบ แต่ความเร็วและปริมาณของข้อมูลในโลกออนไลน์กลับทำให้การรับมือแบบรวมศูนย์ไม่เพียงพอ งานวิจัยด้านความรู้เท่าทันสื่อสะท้อนชัดว่า คนไทยที่มีทักษะสูงด้านการแยกแยะข้อมูลมีเพียงร้อยละ 14.75 เท่านั้น นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดเครื่องมือในการกรองความจริงจากข่าวลวง ขณะเดียวกันกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งใช้งานโซเชียลมีเดียมากขึ้นกลับมีแนวโน้มแชร์ข่าวปลอมมากกว่าคนรุ่นอื่นถึงสองเท่า ทำให้การแพร่กระจายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกินวงกว้าง

เทคโนโลยียุคใหม่อย่าง deepfake และ chatbot อัตโนมัติ ยิ่งทำให้ปัญหาซับซ้อนกว่าเดิม เพราะสามารถสร้างเนื้อหาที่ดูสมจริง ทั้งภาพ เสียง หรือแม้แต่การสนทนาส่วนตัวในแอปปิดอย่าง LINE หรือ Telegram ข่าวลวงจึงไม่ใช่เพียงการโพสต์สาธารณะ แต่กลายเป็นการแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ที่แทบไม่มีใครตรวจสอบได้ทัน ผู้บริโภคแต่ละคนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องก้าวขึ้นมาเป็น “ด่านหน้า” ใช้ทักษะและวิจารณญาณของตนเองในการกลั่นกรองข้อมูล

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การรอการตรวจสอบจากสื่อหลักหรือหน่วยงานรัฐอาจช้าเกินไปต่อการสกัดกั้นผลกระทบ การเสริมสร้างให้ผู้บริโภคตระหนักและตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเอง เช่น การเช็กแหล่งที่มา การเปรียบเทียบกับข้อมูลจากหลายแหล่ง หรือแม้แต่การหยุดคิดก่อนแชร์ จึงไม่ใช่เพียงพฤติกรรมที่ดี แต่เป็นความจำเป็นเชิงสังคมที่ช่วยลดแรงกระเพื่อมจากข่าวปลอมตั้งแต่ต้นทาง

Cofact โครงสร้างการทำงานแบบพลเมืองขับเคลื่อน

Cofact ไม่ได้ทำงานแบบองค์กรสื่อหลักที่มีบรรณาธิการกำหนดทิศทาง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่อาศัยพลังของ “พลเมือง” เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่ขั้นการแจ้งเบาะแส การส่งข้อมูล ไปจนถึงการช่วยตรวจสอบข่าวที่กำลังแพร่กระจาย จุดแข็งของโมเดลนี้อยู่ที่ความเปิดกว้าง เพราะใครก็ตามสามารถส่งต่อข้อความที่สงสัยผ่าน LINE Chatbot หรือช่องทางออนไลน์ จากนั้นระบบจะนำ AI มาช่วยคัดกรองเบื้องต้น เปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อดูว่าข่าวดังกล่าวเคยถูกตรวจสอบแล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การทำงานไม่ได้จบแค่ AI เพราะ Cofact ออกแบบให้มี “ชั้นตรวจสอบซ้ำ” ผ่านเครือข่ายบรรณาธิการอาสาและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น สุขภาพ การเมือง หรือวิทยาศาสตร์ เมื่อข้อมูลได้รับการยืนยันหรือแก้ไข ผลลัพธ์จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลสาธารณะและเผยแพร่ต่อทันที กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยหยุดข่าวปลอมที่แพร่กระจายในวงกว้าง แต่ยังสร้างพื้นที่ให้ประชาชนเรียนรู้วิธีคิดเชิงวิพากษ์และการแยกแยะข้อเท็จจริงไปพร้อมกัน

สิ่งที่ทำให้ Cofact แตกต่างคือการสร้างวัฒนธรรม “debunk-prebunk” หรือการไม่เพียงรอหักล้าง แต่ยังมุ่งป้องกันล่วงหน้า เมื่อผู้คนเริ่มเข้าใจว่าแพลตฟอร์มนี้มีฐานข้อมูลให้ค้นหาก่อนแชร์ ก็เกิดพฤติกรรมการตรวจสอบเชิงรุกที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในสังคม นี่จึงเป็นตัวอย่างของการใช้โครงสร้างแบบพลเมืองขับเคลื่อน ที่ไม่ได้ผูกขาดการตรวจสอบไว้ที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ขยายภารกิจสู่มือประชาชนในวงกว้าง

วิธีใช้งาน Cofact ในชีวิตประจำวัน

การใช้งาน Cofact ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมออนไลน์ของผู้บริโภคทั่วไปที่มักเสพข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียและแอปแชท ทำให้การตรวจสอบข้อมูลสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยผู้ใช้ที่เข้าไปที่เว็บไซต์ cofact.org สามารถพิมพ์ข้อความ คัดลอกลิงก์ข่าว หรือโพสต์ที่สงสัยลงไปในช่องค้นหา ระบบจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางมาแสดง หากข้อความนั้นเคยถูกตรวจสอบแล้ว ผู้ใช้จะเห็นทั้งคำอธิบายและ “ความคิดเห็นหลากหลายมุม” จากผู้ตรวจสอบอาสา ไม่ใช่เพียงคำว่า “จริง” หรือ “ปลอม” เท่านั้น แต่มีการให้เหตุผลและแหล่งอ้างอิงประกอบเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจภาพรวมมากขึ้น

กรณีที่ไม่พบข้อมูล ระบบจะเปิดทางให้ผู้ใช้ “สร้างประเด็นใหม่” เพื่อให้ชุมชนช่วยตรวจสอบต่อไป วิธีนี้ทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการ fact-check โดยตรง ไม่ใช่เพียงผู้รับข้อมูล แต่ยังสามารถริเริ่มตั้งคำถาม และกระตุ้นให้เกิดการค้นหาความจริงในสังคม ข้อดีคือ ผู้ใช้ทุกคนไม่ต้องรอหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งตรวจสอบ แต่สามารถเริ่มต้นได้เอง

สำหรับการใช้งานบน LINE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย Cofact ใช้โมเดล “Chatbot เพื่อนสนิท” เพียงเพิ่มเพื่อน @cofact แล้วส่งข้อความหรือรูปที่สงสัยเข้าไป ระบบจะตอบกลับอัตโนมัติด้วยข้อมูลที่มีอยู่ในฐานกลาง หากยังไม่มีคำตอบ ก็จะเชิญชวนให้ผู้ใช้เปิดประเด็นใหม่ทันที วิธีนี้ทำให้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอมกลายเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายพอๆ กับการแชทประจำวัน และช่วยสร้างนิสัยการตรวจสอบก่อนแชร์ให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน

ลิงก์ตรวจสอบข่าวปลอม https://blog.cofact.org/howto/

สูตรตรวจสอบสามขั้น เครื่องมือกันข่าวลวงในชีวิตประจำวัน

ทุกวันนี้ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วกว่าไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียที่ใครก็สามารถกดแชร์ได้ในไม่กี่วินาที หากขาดทักษะการตรวจสอบ ข้อมูลผิดๆ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือแม้แต่สร้างความเสียหายได้ ผู้เชี่ยวชาญจึงเสนอแนวทางง่ายๆ ที่ประชาชนทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง เรียกว่า “สูตรตรวจสอบสามขั้น”

สามขั้นที่ใครก็ทำได้

  • ย้อนดูแหล่งที่มา – เริ่มจากการถามตัวเองว่าข้อมูลนี้มาจากใคร เป็นหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ สื่อหลัก หรือแค่โพสต์ในเพจนิรนาม หากไม่มีแหล่งที่มาเป็นหลักแหล่ง ความน่าเชื่อถือก็ลดลงทันที
  • ข้ามตรวจจากหลายแหล่ง – อย่าหยุดอยู่ที่ข้อมูลชุดเดียว ลองเปรียบเทียบกับสื่ออื่นหรือประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากเป็นเรื่องสุขภาพควรตรวจสอบกับกระทรวงสาธารณสุขหรือองค์การอนามัยโลก หากเป็นข่าวการเมืองควรดูจากพรรคหรือสื่อที่น่าเชื่อถือ
  • วิเคราะห์ถ้อยคำและเนื้อหาอย่างวิพากษ์ – พิจารณาภาษาที่ใช้ หากเป็นคำโฆษณาเกินจริงหรือคำชวนตระหนก เช่น “หายขาด 100%” หรือ “ข่าวด่วนสุดๆ” มักเป็นสัญญาณว่าข่าวนั้นไม่น่าไว้ใจ

ตัวอย่างการใช้สูตรสามขั้น

ข่าวโควิด-19

ในช่วงโควิด-19 เคยมีการแชร์ว่า “สมุนไพรชนิดหนึ่งรักษาโควิดได้” เมื่อย้อนดูแหล่งที่มา พบว่าเป็นเพียงโพสต์นิรนาม ไม่อ้างอิงงานวิจัยหรือประกาศจากหน่วยงานสาธารณสุขใดๆ เมื่อตรวจสอบกับเว็บไซต์กรมควบคุมโรคและองค์การอนามัยโลก ก็ไม่พบข้อมูลสนับสนุน และเมื่อพิจารณาภาษา กลับเต็มไปด้วยคำขายตรง เช่น “รักษาได้แน่นอน” สุดท้ายจึงสรุปได้ว่าเป็นข่าวลวง

ข่าวการเมือง

ข่าวลือที่ว่านักการเมืองชื่อดังเตรียมลาออกจากตำแหน่ง ถูกส่งต่อในกลุ่มไลน์บ่อยครั้ง หากตรวจสอบตามสูตร ขั้นแรกพบว่าข่าวไม่ได้มาจากสำนักข่าว แต่เป็นเพจนิรนาม เมื่อตรวจสอบต่อกับสื่อหลักและเว็บไซต์พรรคก็ไม่พบข้อมูลยืนยัน และเมื่อดูถ้อยคำ เช่น “วงในเผยแน่นอน” หรือ “ข่าวด่วนสุดๆ” ก็ยิ่งตอกย้ำว่าเป็นข่าวที่สร้างอารมณ์มากกว่าความจริง

ข่าวภัยพิบัติ

กรณีข้อความว่า “อีกสองวันจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในกรุงเทพฯ” เป็นอีกตัวอย่างที่แพร่กระจายเร็ว แต่เมื่อย้อนดูแหล่งที่มา ก็พบว่าเป็นเพียงเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา เมื่อตรวจสอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่พบประกาศเตือนภัยจริง สุดท้ายเมื่อตรวจสอบถ้อยคำ พบว่ามีการใช้คำชวนตกใจอย่าง “เตรียมรับมือด่วน” โดยไม่มีหลักฐานรองรับ

ทั้งสามตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า สูตรตรวจสอบสามขั้น ไม่ใช่ทฤษฎีไกลตัว แต่เป็นเครื่องมือที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้ทันทีในชีวิตประจำวัน ยิ่งนำมาใช้บ่อยเท่าไร ก็ยิ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ป้องกันการหลงเชื่อข่าวปลอมที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม

AI กับเครื่องมือเสริมเกราะ

การรับมือกับข่าวปลอมทุกวันนี้ไม่อาจพึ่งเพียงแพลตฟอร์มเดียว แต่ต้องใช้ “เกราะหลายชั้น” ที่ช่วยกันป้องกัน ทั้ง Cofact และเครื่องมือ AI อื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบรูปแบบต่างๆ ของข้อมูล ตัวอย่างเช่น Sensity AI ที่เชี่ยวชาญการตรวจจับ deepfake วิดีโอ หากมีการนำภาพหรือเสียงของบุคคลสาธารณะไปดัดแปลงจนดูเหมือนจริง ระบบก็สามารถช่วยระบุได้ว่าเป็นของปลอม ช่วยลดโอกาสที่สังคมจะถูกหลอกโดยภาพหรือคลิปที่สร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียน

อีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ง่ายและใกล้ตัวคือ Google Lens ซึ่งช่วยตรวจสอบภาพต้นทาง เพียงอัปโหลดหรือแคปภาพ ก็สามารถสืบค้นว่าเคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนบ้าง เหมาะกับกรณีที่มักเจอภาพเก่าถูกนำมาปรับบริบท เช่น ภาพน้ำท่วมในต่างประเทศที่ถูกแชร์ว่าเกิดขึ้นในไทย เครื่องมือนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ตรวจสอบย้อนกลับได้ภายในไม่กี่วินาที

ขณะเดียวกัน NewsGuard ซึ่งมาในรูปแบบส่วนขยายเบราว์เซอร์ ก็เป็นตัวช่วยสำคัญในการอ่านข่าวออนไลน์ เพราะจะมีการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ตามเกณฑ์มาตรฐานสากล เช่น ความโปร่งใสของผู้จัดทำ การมีบรรณาธิการที่ชัดเจน หรือการแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างเปิดเผย เมื่อนำมาใช้ควบคู่กับ Cofact และเครื่องมือ AI อื่น ๆ ผู้ใช้จะได้ภูมิคุ้มกันรอบด้าน ทั้งการตรวจสอบเนื้อหา ภาพ และที่มาของข่าว ช่วยลดโอกาสการหลงเชื่อหรือแชร์ต่อโดยไม่รู้ตัว

บทเรียนจากข่าวปลอมที่เคยเกิดขึ้น

ประสบการณ์ของ Cofact ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ข่าวปลอมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นภัยที่กระทบต่อชีวิตจริงของผู้คนในสังคม ตัวอย่างชัดเจนคือกรณี สูตรยารักษาโควิดที่ผิดวิธี ซึ่งถูกแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลาย จนมีผู้หลงเชื่อนำไปปฏิบัติและเกิดผลเสียต่อสุขภาพ นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าการแพร่กระจายข้อมูลผิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจนำไปสู่ความเสี่ยงระดับสาธารณสุขทั้งประเทศ

อีกมิติหนึ่งคือ คลิป deepfake นักการเมือง ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบิดเบือนความจริงหรือทำลายความน่าเชื่อถือของคู่แข่งทางการเมือง การปล่อยข้อมูลเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจผิดในสังคม แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อกระบวนการประชาธิปไตยโดยตรง นอกจากนี้ Cofact ยังตรวจพบ ข่าวปลอมด้านสิทธิประโยชน์รัฐและการเงิน เช่น การอ้างแจกเงิน การปล่อยลิงก์หลอกลวงเพื่อดูดข้อมูลส่วนตัว และการปลอมเป็นหน่วยงานรัฐเพื่อให้ประชาชนโอนเงิน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการหาประโยชน์โดยตรงจากความไม่รู้ของผู้บริโภค

สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าหากไม่มีแพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างทันท่วงที ความเสียหายอาจขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับโครงสร้างทางสังคม การมี Cofact จึงเปรียบเสมือนกลไกเบรกที่ช่วยหยุดยั้งความเสียหายก่อนจะลุกลามใหญ่โต

ข้อเสนอเพื่ออนาคต

เมื่อเผชิญกับคลื่นข่าวปลอมที่ทวีความซับซ้อนมากขึ้น หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องมีมาตรการเชิงระบบเข้ามารองรับ บทบาทของรัฐ ควรอยู่ที่การสนับสนุนทรัพยากรให้แพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ต้องทำโดยไม่แทรกแซงเนื้อหาหรือชี้นำผลการตรวจสอบ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความเป็นอิสระของข้อมูล

ในขณะที่ สถานศึกษา มีบทบาทสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว การบรรจุวิชา Media & Information Literacy ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนและนักศึกษาได้ใช้เครื่องมือตรวจสอบจริง จะช่วยปลูกฝังทักษะคิดเชิงวิพากษ์และการแยกแยะข่าวปลอมตั้งแต่เยาวชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่เข้มแข็ง

ด้าน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสื่อและแพลตฟอร์มออนไลน์ ควรพิจารณานำ API ของ Cofact ไปติดตั้งในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบความจริงได้ในทันทีที่พบเนื้อหาน่าสงสัย วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้บริโภคในระยะยาว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

อุตุฯ เตือนปลายส.ค.-ก.ย. ฝนชุกที่สุดในรอบปี

47 นาทีที่แล้ว

รัฐบาล เชิญพุทธศาสนิกชนร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุ “อุรังคธาตุ”

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กลุ่มเจมาร์ทยอดขายมือถือและสุกี้ตี๋น้อยดันกำไรโต

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“มาดามรถถัง” ส่งยานเกราะ - ช่างซ่อมประจำชายแดนไทย - กัมพูชา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

กลุ่มดาว ประเทศไทย พัฒนานวัตกรรมวัสดุคาร์บอนต่ำ

สำนักข่าวไทย Online

"ภูมิธรรม" ย้ำยังไม่ยุบ “ศบ.ทก.” รอประเมินสถานการณ์ก่อน

ข่าวช่องวัน 31

BAM ครึ่งปีแรกกวาดกำไร 1,511 ล้านบาท เดินหน้าลุยธุรกิจเต็มสูบ

สำนักข่าวไทย Online

"มท.อ้วน" ส่งตัวแทนยื่นร้องมรรยาท "ทนายทิวา" ปมแถลงข่าวเขากระโดง ปัดปิดกั้นทางการเมือง

Manager Online

วธ.เผยบอร์ดภาพยนตร์ไฟเขียวงบ 845 ล้าน หนุนต่างชาติถ่ายทำในไทย

ไทยโพสต์

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงสื่อออนไลน์บิดเบือน

INN News

สรรพากรยกเลิกใบอนุโมทนาบัตร

AEC10NEWs

อิสราเอลเผยเตรียมโจมตียึด ‘กาซาซิตี’ เร็วๆ นี้

Xinhua

ข่าวและบทความยอดนิยม

ฟินแลนด์สอนเด็กจับโป๊ะข่าวปลอมตั้งแต่อนุบาล หวังให้เด็กรู้เท่าทันสื่อ

TNN ช่อง16

ลือ ! “Apple” เตรียมเปิดตัว “หุ่นยนต์โคมไฟ” และ Siri ใหม่ ลุยตลาดปัญญาประดิษฐ์

TNN ช่อง16

เตือน 10 ข่าวปลอมอาชญากรรมออนไลน์ ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อ-อย่าแชร์

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...