ยอดผลิตรถยนต์ก.ค.68หดตัว 11.39% ส่งออกอาการหนักวูบ 17.76%สวนทางยอดขายในปท.โตขึ้น
ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์ ก.ค. 68 อยู่ที่ 110,616 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 11.39% ขณะที่การส่งออกรถยนต์วูบหนัก เดือนก.ค.ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 17.76% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่น ส่วนยอดขายในประเทศโตต่อเนื่อง 4เดือนติดต่อกัน โดยเดือนก.ค.นี้ ยอดขายรถยนต์ 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.84% มาจากยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ค. ปี2568 มีทั้งสิ้น 110,616 คันลดลงจากเดือนมิ.ย. ปี2568 ที่ 15.06% และลดลงจากเดือนก.ค. ปี2567 ที่ 11.39%ปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันที่ลดลง 31.80% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น
ส่วนรถกระบะยังผลิตลดลงต่อเนื่อง ทั้งการผลิตขายในประเทศที่ลดลง 6.54% และผลิตส่งออกลดลง 8.61% ตามยอดขายในประเทศและยอดส่งออกที่ลดลงจากความไม่แน่นอนในการค้าโลก
สำหรับงวด 7 เดือน รถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือน ม.ค.-ก.ค. 2568 มีทั้งสิ้น 835,331 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.73%
ส่วนยอดผลิตเพื่อส่งออก ในเดือน ก.ค. ผลิตได้ 74,100 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.35% ขณะที่ 7 เดือนแรกผลิตเพื่อส่งออกได้ 549,113 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.05% ส่วนยอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในเดือน ก.ค. ผลิตได้ 36,516 คัน ลดลง 2.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 7 เดือนปี2568 ผลิตได้ 286,218 คัน เพิ่มขึ้น 1.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในเดือน ก.ค. มีทั้งสิ้น 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน เพราะยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน
สำหรับรถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องมากกว่า 30 เดือน เหลือแค่ 11,022 คัน จากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8% ในไตรมาส 2/68 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1% สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตแค่ 2.1% ทั้งนี้ ยังต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนต่อไป คาดหวังว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือน ก.ค. 68 ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 17.76% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพราะจะเปลี่ยนรุ่นรถ รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ายังส่งออกอีกในเดือนนี้ 167 คัน ทำให้ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของไทยที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าตามที่รัฐและเอกชนร่วมมือกันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ใช้น้ำมันและยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบายและความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน ซึ่งมองว่าเรามาถูกทางแล้วที่ส่งเสริมให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกระตุ้นให้ใช้ในประเทศ เพราะทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น
สำหรับ 7 เดือนปีนี้ มีการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 531,796 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.74%
ด้านกลุ่ม EV ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือน ก.ค. 68 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า BEV จดทะเบียนใหม่ 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 45.51% ขณะที่ 7 เดือน จดทะเบียนใหม่สะสม 81,179 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 35.08%
ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง HEV ในเดือน ก.ค. มียอดจดทะเบียนใหม่ 11,815 คัน ลดลง 0.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 7 เดือน มียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 84,128 คัน เพิ่มขึ้น 0.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนประเภท PHEV ในเดือน ก.ค. มียอดจดทะเบียนใหม่ 1,286 คัน เพิ่มขึ้น 55.69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน 7 เดือน มียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 12,632 8น เพิ่มขึ้น 120.76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงที่เหลือของปี2568 คาดว่าเหมือนช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา คงไม่ทรุดไปมากกว่านี้ เนื่องจากบอร์ดบีโอไอมีการเสนอเรื่องสิทธิประโยชน์การลงทุนต่าง ๆ ส่วนเรื่องอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่จัดเก็บจากไทยอยู่ที่ 19% ก็ถือว่าพอสู้กับประเทศคู่แข่งได้ และคาดว่าน่าจะทำให้ส่งออกของไทยและประเทศคู่ค้าดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลประกาศว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ด้วย
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO