โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

รถ EV ยังไม่น่าไว้ใจ - น้ำมันก็แพง เมื่อการมี ‘รถยนต์’เต็มไปด้วยความเสี่ยง เมืองจะแก้ปัญหาการเดินทางอย่างไรได้บ้าง?

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ท้องถนนที่มักเต็มไปด้วยรถยนต์มากมายอย่างแน่นขนัดกลายเป็นภาพชินตาสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ

ปัจจุบันมีรถหลากหลายแบรนด์และเรทราคาที่แตกต่างกันออกไปจนจดจำได้ไม่หมด ทั้งยังมีคู่แข่งหน้าใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะประหยัดค่าพลังงานได้มากกว่ารถยนต์ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันหรือรถสันดาป และถูกมองว่าดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

รถ EV ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มาจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีน เช่น BYD Changan หรือ AION และสหรัฐอเมริกา เช่น Tesla ซึ่งรถเหล่านี้ก็ยังมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ของคนไทย ตัวเลือกยอดนิยมจึงเป็นแบรนด์ที่มีราคาจับต้องได้ เช่น Neta

แต่สุดท้ายรถยนต์ที่แม้จะราคาถูก แต่การแข่งขันในตลาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นชัดเจนได้จากกรณีที่ บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอยี่ ออโตโมบิล (Hozon New Energy Automobile) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนในแบรนด์ Neta ยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ส่งผลให้ผู้ที่ซื้อรถได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะการดูแลรักษารถหรือการขายต่อก็เป็นไปได้ยาก

เรื่องนี้ทำให้หลายคนกังวลและพิจารณาการใช้รถ EV อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้ใช้รถน้ำมันก็มีความน่ากังวลไม่แพ้กัน นอกจากค่าเชื้อเพลิงที่สูงอยู่แล้วยังต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่ส่งผลให้น้ำมันแพงขึ้นไปอีก เนื่องด้วยสงครามอิหร่าน - อิสราเอล และสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้น้ำมันดิบราคาพุ่งสูงขึ้น เพราะรัฐสภาอิหร่านมีมติเอกฉันท์ตัดสินใจ ปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งน้ำมันจากแหล่งน้ำมันในประเทศต่างๆ เช่น ซาอุดิอาระเบีย อิรัก กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

แม้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 สงครามอิสราเอล-อิหร่านจะเข้าสู่กระบวนการหยุดยิงและจบสงครามภายในเวลา 24 ชั่วโมง หลังถล่มกันยืดเยื้อมานาน 12 วัน แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางพลังงานอย่างรุนแรง ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเตรียมเก็บพลังงานสำรองไว้หากเกิดภาวะขาดแคลน

ประเด็นทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ ไม่ว่าจะรถไฟฟ้าหรือรถน้ำมันย่อมมีความเสี่ยง และผู้ที่ต้องรับความเสี่ยงนั้นก็คือประชาชนคนทั่วไปที่ต้องแบกรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากรถยนต์ยังถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถพึ่งพาขนส่งสาธารณะหรือทางเดินเท้าในปัจจุบันได้

ไทยรัฐพลัสจึงชวนสำรวจความเสี่ยงของผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องเผชิญกับทั้งค่าใช้จ่ายในด้านพลังงาน การพัฒนาของเทคโนโลยี และภาวะวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อไปสู่การหาคำตอบของคำถามที่ว่าเราจะสามารถจัดการความเสี่ยงเหล่านี้และเพิ่มทางเลือกให้คนอย่างไรได้บ้าง

ความเสี่ยงของการมีรถสักคันมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันรถยนต์มี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1.รถใช้น้ำมัน 2.รถ EV และ 3.รถไฮบริด (HEV: Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งรถไฮบริดถือว่าเป็นรถที่ได้เปรียบมากที่สุดเนื่องจากใช้พลังงานผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและมอเตอร์ไฟฟ้า โดยไม่ต้องชาร์จไฟและเติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันกว่ารถน้ำมันปกติ แต่รถประเภทนี้ก็ยังถือว่ามีราคาสูงสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีงบจำกัดและบางคนมองว่าการซื้อรถ EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ถูกกว่าแต่แรกอาจคุ้มค่ามากกว่าและไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันที่มีความผันผวนสูงได้

ขณะเดียวกันแม้รถน้ำมันจะเป็นเทคโนโลยีเก่า แต่ด้วยราคารถที่จับต้องได้และประสิทธิภาพที่น่าเชื่อถือกว่ารถ EV ราคาประหยัด ทำให้รถประเภทนี้ยังคงเป็นตัวเลือกหลักที่หลายคนเลือกใช้ แม้จะตามมาด้วยค่าเชื้อเพลิงที่แพงกว่าก็ตาม

มวลอารมณ์ของความกังวลต่างๆ นานาของการมีรถยนต์สักคันจึงกลายเป็นที่ถกเถียงอยู่เสมอในสังคม อีกทั้งรถยนต์ยังเป็นทรัพย์สินที่มูลค่าลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้น การพิจารณาซื้อรถหรือเปลี่ยนไปใช้รถยนต์แบบไหนย่อมต้องคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะความคุ้มค่าในการซื้อรถ ค่าพลังงาน ค่าซ่อมบำรุง หรือค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ เช่น ค่าทางด่วน,ค่าที่จอดรถ,ค่าประกันและภาษี

นอกจากนี้รถยนต์ยังถือเป็นหนึ่งในหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินมาก จนทำให้หลายคนผ่อนรถต่อไม่ไหว หรือบางกรณีรถมักถูกนำไปจำนำหรือขายเป็นอันดับแรกๆ เพื่อหมุนเงินในครัวเรือนและลดภาระค่าใช้จ่าย

กลุ่มคนที่มีรถยนต์ในประเทศไทยส่วนใหญ่คือในแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมักเป็นกลุ่มพนักงานบริษัท ข้าราชการและกลุ่มอาชีพรายได้มั่นคงที่ต้องเดินทางไปทำงานหรือทำธุรกิจ ขณะที่หลายจังหวัดทั่วประเทศไทยก็มีคนจำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่มีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม

ฉะนั้น ด้วยงบประมาณที่จำกัดและภาระการผ่อนชำระที่เป็นรายจ่ายระยะยาว ทำให้หลายคนไม่สามารถจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับตัวรถที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดเวลา ความเสี่ยงด้านพลังงานที่ต้องพึ่งพาจากแหล่งน้ำมันต่างประเทศเป็นหลัก หรือการใช้รถยนต์ EV สัญชาติต่างประเทศที่อาจมีปัญหาการเงิน ความสามารถในการแข่งขัน หรือความมั่นคงต่างๆ ที่จะส่งผลต่อกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยอย่างหนัก

การพยายามแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานน้ำมันด้วยการเปลี่ยนไปใช้รถ EV จึงไม่ใช่ทางออกที่ช่วยคนกลุ่มนี้ได้มากนัก เพราะแม้แต่รถ EV ก็มีความเสี่ยงต่างๆ ที่ต้องคำนึงไม่แพ้กัน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นความเหลือมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ผู้มีรายได้สูงสามารถเปลี่ยนไปใช้รถ EV ที่มีคุณภาพได้เร็ว

ขณะที่กลุ่มคนรายได้น้อยยังต้องใช้รถน้ำมันและเสี่ยงต่อการแบกรับค่าใช้จ่ายจากวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามทางกายภาพ สงครามทางการค้า หรือสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ขณะที่รถ EV ราคาประหยัดก็ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเป็นเช่นเกี่ยวกับกรณี Neta อีกหรือไม่

แต่อย่างไรความเสี่ยงเหล่านี้ต้องวิเคราะห์ตามแต่กรณี ซึ่ง Neta ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงการซื้อรถของคนไทยที่มีปัจจัยหลายข้อที่ส่งผลต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ในเริ่มแรกที่ Neta เข้ามาขายในไทยถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่รถรุ่น Neta V เป็นที่นิยมมากในไทยและครองยอดขายอันดับ 1 ในเดือนมิถุนายนของปี 2566 เนื่องด้วยราคาที่ลดลงจากนโยบาย EV 3.0 ของภาครัฐ ที่ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถ EV มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนชนชั้นกลางที่มีรายได้มั่นคงที่ตัดสินใจซื้อรถเร็วเพราะแรงกระตุ้นจากนโยบายรัฐ ที่ทำให้รถมีราคาต่ำลงเหลือประมาณ 429,000 - 459,000 บาท จากเดิมราคาเริ่มต้น 549,000 บาท

จุดสำคัญของเรื่องนี้คือ Neta V เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดรถ EV ที่ส่วนใหญ่มีราคาสูงในตอนนั้นได้ดี และมีศักยภาพเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ในไทย ขณะที่ในจีน Neta ไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนักเนื่องจากการแข่งขันสูงและสู้กับกำลังผลิตของบริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้ Neta จึงเลือกเจาะตลาดในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ผลตอบรับกลับไม่ดีมากเท่าไทย เนื่องจากรถแบรนด์อื่นๆ มีนวัตกรรมที่มากกว่าและไม่ได้มีนโยบายสนับสนุนเช่นไทย

ความมั่นคงของ Neta จึงเป็นที่น่ากังวลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะ Neta มีปัญหาการจัดการการเงินภายในองค์กร มีหนี้สินจำนวนมาก และมีการค้างจ่ายซัพพลายเออร์ (Supplier) และพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการในบริษัทอย่างหนักจนเกิดการยื่นล้มละลายในที่สุด

นี่ถือเป็นผลกระทบมหาศาลที่เกิดขึ้นในไทย เพราะไม่ใช่เพียงแค่สร้างความเสียหายของผู้ซื้อรถ Neta เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปยังรัฐบาลที่ใช้งบประมาณแผ่นดินสนับสนุนการซื้อรถ EV ด้วย ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่ารถยนต์ที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ถูกนำเข้ามายังประเทศไทยได้อย่างไร

คำถามนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หลายคนตระหนักถึงความสำคัญในการพิจารณาซื้อรถมากขึ้น รวมถึงรัฐบาลที่ต้องเข้ามาจัดการความเสี่ยงจากรถยนต์อย่างจริงจัง เพราะปัจจัยที่ส่งผลให้คนจำเป็นต้องใช้รถคือขนส่งสาธารณะที่ไม่ทั่วถึงและเมืองที่ไม่เอื้อต่อการเดินทางด้วยการเดินเท้าหรือการขี่จักรยาน เป็นการผลักภาระและความเสี่ยงไปยังประชาชนให้ซื้อรถยนต์ไปโดยปริยาย

ภาพไฮไลต์

ถ้ารถยังจำเป็นต้องใช้ เราจะจัดการความเสี่ยงอย่างไร?

เพียงรถคันเดียวก็ทำให้หลายคนหายใจไม่ทั่วท้องกันแล้ว ความเครียดหรือความกังวลใจเหล่านี้อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่หากเรายังจำเป็นต้องใช้ เราจะจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างไรได้บ้าง

สำหรับคนที่มีรถอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ย่อมมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ราคาน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าเสื่อม ภัยพิบัติ อุบัติเหตุหรือสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ซึ่งผู้ใช้รถทำได้เพียงการเตรียมพร้อมรับมือเท่านั้น เช่น การทำประกัน หรือการศึกษาข้อมูลรถของตัวเองเพื่อรู้ข้อดีข้อเสียต่างๆ

การติดตามข่าวสารและข้อมูลที่เชื่อถือก็เป็นอีกตัวช่วยที่ทำให้ผู้ใช้รถรู้เท่าทันและไม่ตระหนกต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกินไป เพราะการจัดการความเสี่ยงในการเป็นเจ้าของรถยนต์ในยุคปัจจุบันต้องอาศัยความเข้าใจรอบด้าน การวางแผนทางการเงินที่ดี และการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตามผู้มีรายได้น้อยในภาวะค่าครองชีพที่สูงอาจประสบกับสถานการณ์ ‘ผ่อนรถไม่ไหว’ อาจต้องใช้มาตรการสำหรับลูกหนี้ต่างๆ เช่น การรีไฟแนนซ์เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่องวดลง การเจรจาประนอมหนี้ การขายดาวน์และเปลี่ยนสัญญาผู้ซื้อ หรือคืนรถยนต์ให้ไฟแนนซ์ ซึ่งนั่นอาจเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงที่สำคัญก่อนจะแบกรับภาระหนี้ที่เกินตัวไปมากกว่านี้

ขณะที่ผู้ที่กำลังคิดซื้อรถก็มีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้พวกเขาต้องรับความเสี่ยงในรถยนต์หลากยี่ห้อที่มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะรถที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจพบปัญหาบางอย่างได้หรือกลยุทธ์การค้าต่างๆ ที่ยั่วยวนให้เราซื้อรถเหล่านั้น การคัดสรรรถยนต์ที่เหมาะสมกับตัวเองจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ต้องการซื้อรถควรวางแผนและพิจารณาความเสี่ยงในอนาคตด้วย

ทั่วโลกจัดการปัญหา ‘รถยนต์’ อย่างไร?

แม้รถยนต์จะทำให้ผู้คนเดินทางสะดวกขึ้น แต่การมีปริมาณรถมากเกินไปย่อมสร้างปัญหาได้ในหลายด้าน เช่น รถติด อุบัติเหตุ หนี้สินครัวเรือนและมลพิษ รัฐบาลหลายแห่งทั่วโลกจึงมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาควบคุมการใช้รถยนต์และก่อให้เกิดนโยบายสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเดินทางได้สะดวกมากขึ้น โดยลดการพึ่งพารถยนต์ เช่น

ซูริก สวิตเซอร์แลนด์ ลงทุนกับระบบขนส่งสาธารณะอย่างมหาศาลทั้งระบบรถราง (Tram), รถบัส, และรถไฟที่ครอบคลุม ตรงเวลาและรวดเร็วมาก รวมทั้งยังปรับปรุงทางเท้าและสร้างเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัยทั่วเมือง

อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือ ‘2000-Watt Society’ ที่เป็นนโยบายระยะยาวที่มุ่งลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรให้เหลือ 2,000 วัตต์ โดยมีเป้าหมายหลักในการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว แม้นี่จะเป็นนโยบายที่อาจจะดูเข้มงวด แต่ระบบขนส่งที่ดีทำให้สัดส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดและประชาชนส่วนใหญ่หันมาใช้ขนส่งสาธารณะ เดิน หรือปั่นจักรยานมากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้คุณภาพชีวิตต่างๆ ดีขึ้น เช่น คุณภาพอากาศที่ดี มลภาวะทางเสียงที่น้อยลง และมีพื้นที่ให้คนเดินเท้าและทำกิจกรรมได้มากขึ้น

แม้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนส่งสาธารณะจะสูง แต่ซูริกสามารถลดค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่เกิดจากรถติด ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขจากมลภาวะ และยังสามารถลดการนำเข้าน้ำมันในระยะยาว

โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ลงทุนสร้างเลนจักรยานเชื่อมโยงกันทั่วเมืองที่ทั้งกว้างขวางและปลอดภัย นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญจักรยานมากกว่ารถยนต์ เช่น การสร้างสะพานสำหรับจักรยาน การจัดลำดับให้สัญญาณไฟเขียวกับจักรยานก่อน ตามสถานีขนส่งสาธารณะต่างๆ มีที่จอดจักรยานขนาดใหญ่และบางช่วงเวลาก็อนุญาตให้นำจักรยานขึ้นรถไฟได้

นอกจากนี้ยังมีมาตรการจำกัดรถยนต์ เช่น การจำกัดพื้นที่สำหรับรถยนต์ในใจกลางเมือง ลดพื้นที่จอดรถและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการขับรถเข้าเมือง

มาตรการเหล่านั้นส่งผลให้โคเปนเฮเกนมีสัดส่วนการเดินทางด้วยจักรยานสูงที่สุดในโลก โดยมีประชากรกว่า 62% ใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงานหรือโรงเรียนในแต่ละวัน ส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้นจากการปั่นจักรยานทุกวัน จำนวนรถยนต์ลดลงและทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้น อีกทั้งการลงทุนทางจักรยานยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการสร้างถนน

ฟรีบูร์ก เยอรมนี วางผังเมืองที่ส่งเสริมให้คนเดิน ปั่นจักรยานหรือใช้รถรางเป็นหลัก โดยการตั้งร้านค้า โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อยู่ใกล้ในระยะที่เดินถึง รวมถึงใช้มาตรการตั๋วโดยสารราคาถูกหรือตั๋วแบบเหมาที่ส่งเสริมให้คนใช้รถรางหรือรถบัส

นอกจากนี้ยังมีสนับสนุนการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่ไม่มีที่จอดรถยนต์ส่วนตัว หรือ ‘Car-Free Housing’ โดยออกแบบให้มีที่จอดจักรยานและเพิ่มระบบให้บริการ Car-Sharing (รถยนต์ให้เช่าร่วมกัน) ทำให้ผู้คนส่วนมากไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถยนต์และมีพื้นที่ไร้รถยนต์ที่ปลอดภัยต่อเด็กและคนเดินเท้า

เมืองนี้จึงถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่นำผังเมืองและขนส่งสาธารณะมาผนวกกันได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งยังส่งเสริมให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างชุมชนที่เข้มแข็งและยังคงให้ผู้คนมีตัวเลือกในการใช้รถ โดยไม่ส่งผลต่อหนี้ครัวเรือนมากนัก

โตเกียว ญี่ปุ่น แม้ทั่วประเทศญี่ปุ่นจะมีจำนวนรถยนต์สูง แต่ในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ผู้คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะไม่ขับรถส่วนตัวในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีโครงข่ายรถไฟที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ รวดเร็วและตรงเวลา ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมการใช้ขนส่งสาธารณะจนผู้คนคุ้นเคยและนิยมใช้รถไฟเดินทาง ขณะที่รถยนต์มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สูง เช่น ที่จอดรถ ภาษี และค่าบำรุงรักษา

อีกทั้งพื้นที่รอบสถานีรถไฟยังถูกพัฒนาขึ้น ทำให้คนสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยการเดินหรือใช้รถไฟ เช่น ชุมชน ที่อยู่อาศัย แหล่งช้อปปิ้ง และสำนักงานต่างๆ

ข้อได้เปรียบของการลงทุนรถไฟที่ครอบคลุมเช่นนี้คือการประหยัดเวลาเดินทางและทำให้ประชาชนสามารถเดินทางได้ในขอบเขตที่กว้าง เช่น รถไฟฟ้าชินคังเซ็นที่สามารถขึ้นจากโตเกียวไปเกียวโต (ห่าง 454.5 กม.) ได้ภายใน 2 ชั่วโมงกว่า (3 กม.ต่อนาที) เปรียบเทียบกับไทยระยะห่างจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ (ห่าง 687 กม.) ต้องใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมง (1 กม.ต่อนาที)

ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ จีน มีมาตรการควบคุมจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่เข้มงวด เนื่องจากจีนประสบปัญหาถติดและมลพิษอย่างหนัก โดยใช้ระบบโควตาป้ายทะเบียน ซึ่งได้มาจากการประมูลหรือการจับฉลากเพื่อให้ได้สิทธิจดทะเบียนรถ

ขณะที่จีนเลือกสนับสนุนรถ EV มากกว่าส่งผลให้มีข้อจำกัดน้อยกว่ารถยนต์น้ำมัน และมีราคาถูกกว่า เพื่อให้คนมาซื้อรถ EV มากขึ้น นอกจากนี้จีนยังลงทุนในระบบสาธารณะและโครงสร้างพื้นที่ฐานสำหรับ EV เป็นจำนวนเงินมหาศาล ทั้งรถไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า จักรยานเช่า สถานีชาร์จ EV และสถานีเปลี่ยนแบตเตอร์รี่รถยนต์กระจายไปทั่วประเทศ ส่งผลให้ชาวจีนสามารถซื้อรถ EV ด้วยความมั่นใจว่าจะมีระบบรองรับที่ครบครัน พร้อมกับตัวเลือกการเดินทางอื่นๆ ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเดินทาง

ปัจจุบันประเทศไทยมีความพยายามในการควบคุมการใช้รถยนต์และส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า รถเมล์และเรือโดยสาร เพื่อลดความแออัดบนท้องถนน แต่ระบบเหล่านี้กระจุกตัวเพียงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางจังหวัดเท่านั้น

อีกทั้งยังใช้เวลาเดินทางนานหลายชั่วโมงและหลายต่อเนื่องจากสภาพผังเมืองที่กระจัดกระจายและไม่เชื่อมต่อกัน ส่งผลให้ผู้คนต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การจัดการปัญหารถยนต์ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศด้วย เพราะการจัดการผังเมืองหรือการสร้างขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพต้องใช้การลงทุนมหาศาลและพิจารณาในหลายขั้นตอน

สำหรับประเทศไทยรถยนต์ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นในปัจจุบัน หากรัฐบาลสามารถลดความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากรถยนต์ได้ ด้วยการส่งเสริมให้การเดินทาสะดวกรวดเร็วมากขึ้นก็อาจเป็นส่วนที่ช่วยให้หลายคนลดภาระทางการเงินพร้อมกับส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีไปด้วย

อ้างอิง: dlt.go.th, fti.or.th, autolifethailand, grandprix.co.th, cnevpost.com, bloomberg, reuters.com, eppo.go.th, nesdc.go.th ,kasikornresearch.com, krungthai.com, scbeic.com, c40 , unhabitat.org

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ไล่นายกฯ สำเร็จแล้วจบไหม? แน่ใจแค่ไหนว่าจะไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดรัฐประหารอีกครั้ง

16 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นายกฯ แพทองธารกับ 4 เส้นทางอนาคต หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปมชายแดนไทย-กัมพูชา

20 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

MIND: ถ้าคุณมีปัญหาสุขภาพจิต เพราะเป็น ‘Perfectionist’ เป้าของการบำบัดอาจไม่จำเป็นต้อง ‘ดีขึ้น’ แค่ต้องยอมรับว่า ‘มันเป็นเช่นนั้นเอง’

BrandThink

5P ของ ‘Charlee and Friends’ เจ้าของสลัชชี่โกโก้สุดไวรัล ที่ทำเองตั้งแต่ปลูกถึงชงลงแก้ว

Capital

Travis Scott เปิดตัวสมูทตี้เมนูใหม่ร่วมกับ Erewhon ในชื่อ Storm Storm Smoothie

THE STANDARD

1 กรกฎาคม กำเนิดเครื่องเล่นวอล์กแมนสเตอริโอพกพาเครื่องแรกของโซนี่

Amarin TV

ถอดรหัส! 10 พฤติกรรมสุดคิวต์ที่น้องแมวพยายามบอกว่า "รักนะ จุ๊บๆ"

คมชัดลึกออนไลน์

BABYMONSTER ปล่อยซิงเกิล Hot Sauce ที่มาพร้อมดนตรีสไตล์ฮิปฮอปยุค 80

THE STANDARD

อัปเดต ปฏิทินวันหยุดเดือนกรกฎาคม 2568 วันหยุดราชการ วันหยุดธนาคาร

คมชัดลึกออนไลน์

Molto ออกไอศกรีมรสชาติพิเศษ “TASTE เด็กเจนแซ่บ” ร่วมกับ LINE MAN และ แอป oneD

Gourmet & Cuisine

ข่าวและบทความยอดนิยม

รถ EV ยังไม่น่าไว้ใจ - น้ำมันก็แพง เมื่อการมี ‘รถยนต์’เต็มไปด้วยความเสี่ยง เมืองจะแก้ปัญหาการเดินทางอย่างไรได้บ้าง?

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

ทำไมคนรุ่นใหม่ในประเทศร่ำรวยถึงหมดรักรถยนต์?

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

เวียดนามเร่งเครื่องแข่งไทย-อินโดฯ ยกเลิกกฎ ‘ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ’ เพื่อดึงบริษัทรถยนต์ตั้งฐานการผลิต

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...