K-Beauty ยังฮอต! แม้ภาษีสหรัฐพุ่ง 15% แฟนคลับยันไม่มีอะไรแทนได้
ภาษีนำเข้าสินค้าความงามจากเกาหลีใต้สู่สหรัฐขยับขึ้นเป็น 15% ภายใต้นโยบายทรัมป์ ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น แต่สาวก K-Beauty ยังเหนียวแน่น ร้านค้าปลีกแห่สต็อกสินค้า นักวิเคราะห์ชี้แบรนด์เล็กอาจกระทบหนัก แต่ความนิยมระดับโลกยังพยุงตลาดไว้ได้
วันที่ 3 สิงหาคม 2568 สำนักข่าว BBC รายงานว่าแม้รัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้เป็น 15% แต่ความนิยมใน K-Beauty หรือเครื่องสำอางเกาหลีในหมู่ผู้บริโภคอเมริกันยังคงแรงไม่ตก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รักสุขภาพผิวและแฟนคลับวัฒนธรรมเกาหลี
Pearl Mak นักออกแบบวัย 27 ปีในสหรัฐฯ เผยว่า 95% ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของเธอมาจากเกาหลีใต้ เพราะรู้สึกว่าอ่อนโยนและเหมาะกับผิวมากกว่าแบรนด์ฝั่งตะวันตก ซึ่งบางครั้งรุนแรงเกินไป
ในปี 2567 ชาวอเมริกันใช้จ่ายกับ K-Beauty สูงถึง 1.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีก่อนหน้า จากความโดดเด่นของวัตถุดิบเฉพาะ เช่น เมือกหอยทาก หรือสารสกัดจากพลูคาว รวมถึงราคาที่ย่อมเยากว่าแบรนด์ยุโรปและอเมริกา
หลังสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีในเดือนเมษายน ยอดสั่งซื้อจากร้านค้าปลีก K-Beauty ในอเมริกา เช่น Santé Brand และ Senti Senti พุ่งสูงขึ้นทันที 20–30% ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มกักตุนสินค้า ก่อนราคาจะปรับขึ้นตามต้นทุน
นักเศรษฐศาสตร์จาก UC San Diego ชี้ว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อผู้ขายรายย่อยที่มีมาร์จินต่ำ แต่แบรนด์รายใหญ่ยังมีศักยภาพในการดูดซับต้นทุนโดยไม่ขึ้นราคาทันที
แม้จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ความนิยมของวัฒนธรรมเกาหลียังทำให้ K-Beauty ครองใจผู้บริโภค “แฟนตัวจริงจะไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ” นักเศรษฐศาสตร์กล่าว
Mak เองก็ยืนยันว่า หากราคาสูงขึ้น เธอก็ยังจะซื้อของเดิม เพราะ “ยังไม่เคยเจอแบรนด์อเมริกันที่คุณภาพเทียบได้เลย”
อ้างอิง : www.bbc.com