2 พฤติกรรมก่อนนอนที่อาจทำให้ "ตับพัง" แบบไม่รู้ตัว ต่อให้ยากแค่ไหนก็ต้องเลิกทันที
ไม่ใช่แค่การดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่การมีพฤติกรรมแย่ ๆ 2 อย่างนี้ในตอนกลางคืน ก็อาจทำให้ตับเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
ตับเปรียบเสมือน “โรงงานเคมี” ของร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญมากกว่า 500 อย่างในแต่ละวัน ทว่า หลายคนอาจไม่รู้ว่า การทำงานของตับนั้นสอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) ของร่างกายโดยเฉพาะ
จากรายงานของ Times of India หากจังหวะชีวิตนี้ถูกรบกวน โดยเฉพาะจากการนอนดึกและการกินอาหารดึกดื่น จะส่งผลให้ตับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
แล้วการนอนดึกและกินดึก ทำร้ายตับอย่างไร?
ตลอดทั้งวัน ตับทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น
- ผลิตน้ำดีในช่วงกลางวันเพื่อช่วยย่อยอาหาร โดยเฉพาะเมื่อร่างกายได้รับอาหารเข้าไป
- สร้างกลูโคสในช่วงเช้าเพื่อรักษาระดับพลังงาน
- ขับสารพิษออกจากร่างกายในช่วงที่ร่างกายพักผ่อน
- ซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ตับ ซึ่งเกิดขึ้นมากที่สุดตอนที่เราหลับ
ตามรายงานของ Times of India แม้จะนำเซลล์ตับไปแยกเลี้ยงในห้องทดลอง เซลล์เหล่านี้ก็ยังคงทำงานตามจังหวะของนาฬิกาชีวิตตามปกติ
แต่เมื่อคุณกินดึกหรือเข้านอนดึก ตับที่ควรจะได้พักกลับต้องฝืนทำงานสวนทางกับระบบนาฬิกาชีวิต ซึ่งอาจนำไปสู่ผลเสียหลายประการ เช่น
- ไขมันสะสมในตับ: การกินดึกทำให้ตับเน้นเก็บพลังงานไว้มากกว่าการนำไปใช้ ส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันในตับ และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับ
- ความสามารถในการขับสารพิษลดลง: เวลาที่ตับขับสารพิษได้ดีที่สุดคือช่วงตี 1 ถึงตี 3 ขณะที่ร่างกายอยู่ในสภาวะพักผ่อน หากจังหวะนี้ถูกรบกวน สารพิษจะตกค้างในเลือดนานขึ้น เพราะตับไม่สามารถกรองและขับออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การอักเสบและภาวะเครียดออกซิเดชัน: เมื่อตับทำงานสวนทางกับนาฬิกาชีวิต เซลล์ตับจะเกิดความเครียดและทำงานหนักเกินไป จนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคตับเรื้อรังหลายชนิด
- การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ: ตับจะสูญเสียความสามารถในการปรับระดับกลูโคสในร่างกายอย่างเหมาะสม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความเสียหายต่อตับ
วิธีง่าย ๆ ในการ “รีเซ็ต” นาฬิกาชีวิตให้ตับกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ควรทำเพื่อดูแลตับให้ทำงานสอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต ได้แก่
- กินอาหารให้ตรงเวลาในทุกวัน: การรักษาเวลาในการรับประทานอาหารให้สม่ำเสมอจะช่วยให้ตับทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ
- หลีกเลี่ยงการกินจุกจิกตลอดทั้งวัน: เพื่อให้ตับมีช่วงเวลาได้พักและขับของเสียออกจากร่างกาย
- ควรรับประทานมื้อเย็นให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะก่อนเวลา 1 ทุ่มจะดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงการกินมื้อเย็นในปริมาณมากเกินไป เพราะจะเป็นภาระต่อตับในช่วงที่ควรได้พัก
- นอนให้เป็นเวลา และนอนให้พอ ควรนอนหลับอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน และเข้านอนตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำ
- รับแสงแดดในตอนเช้า แสงธรรมชาติตอนเช้าจะช่วยปรับจังหวะนาฬิกาชีวิตของร่างกายและตับให้สอดคล้องกันมากขึ้น