สภาฯมีมติเอกฉันท์เห็นชอบยกเลิกคำสั่งคสช.ล็อตใหญ่ 55 ฉบับ ส่งไม้ต่อวุฒิฯพิจารณาต่อ
วันที่ 30 ก.ค.2568 เวลา 11.00 น. วันที่ 23 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บางฉบับที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นพิจารณาต่อจากการประชุมเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา
โดยหลักการและเหตุผล ของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ชี้แจงว่า ตามที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาและลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ. 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคสช. และคำสั่งหัวหน้าคสช. บางฉบับที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับการปัจจุบัน 2.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 เรื่องการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวง ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท 3.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคสช. ฉบับที่ 98/2557 คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 14/2559 และคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 57/2559 4.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย และ 5.ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช.
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า คณะกมธ.วิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับ เสร็จสิ้นแล้ว โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาการยกเลิกประกาศ และคำสั่งหัวหน้าคสช. รวมทั้งสิ้น 77 ฉบับ และได้นำคำอภิปรายของสส. ในวาระแรกขั้นรับหลักการ รายงานผลการรับฟังความคิดเห็น และผลกระทบที่อาจเกิดจากร่างกฎหมายมาประกอบการพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ และได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.นี้ โดยยกเลิกคำสั่ง และประกาศคสช. รวม 55 ฉบับ ส่วนคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ยังคงไว้มีอยู่ 22 ฉบับ เหตุผลสำคัญ คือ เป็นคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ต้องแก้ไขกฎหมายก่อนยกเลิก 9 ฉบับ เป็นคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่หน่วยงานร้องขอให้คงไว้เพื่อให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อน 3 ฉบับ คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่หน่วยงานขอให้คงไว้ เนื่องจากมีหน่วยงานหรือสส. อยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายซึ่งมีบทบัญญัติยกเลิกคำสั่งอยู่แล้ว 3 ฉบับ และคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่หน่วยงานร้องขอให้คงไว้อีก 7 ฉบับ
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า แรงสนับสุนนจากทุกพรรคการเมืองในสภาฯ เป็นการตอกย้ำ ว่าอำนาจการออกกฎหมายพึงเป็นของประชาชน การออกคำสั่งทำได้ได้ง่าย แต่การจะยกเลิกหรือแก้ไขให้ถูกต้องเป็นไปด้วยความยากลำบาก คำสั่งประกาศออกมาแล้วอาจมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง แต่ด้วยความร่วมมือของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้การทำงานขอคณะกมธ.วิสามัญฯ เป็นไปได้ด้วยดี
ด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล รองประธานคณะกมธ.วิสามัญฯ ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 คณะบุคคลทำการรัฐประหารล้มรัฐบาลตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คสช.อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ออกประกาศคำสั่งคสช. รวม 565 ฉบับ ครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งการละเมิดสิทธิเสรีภาพ เรียกบุคคลไปรายงานตัว ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร อายัดบัญชีต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งการห้ามชุมนุม เรื่องที่เกี่ยวกับการประมง การผังเมือง การเกษตร ที่ดินสปก. การนำที่ป่าสงวนต่างๆมาเป็นที่ราชพัสดุ การโยกย้ายข้าราชการ เป็นต้น ชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาแห่งการรัฐประหาร และใช้อำนาจตามมาตรา 44 จึงไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะเรื่องการเมือง แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอื่นๆอีกด้วย
“เมื่อหัวหน้าคณะรัฐประหารยึดอำนาจ เขาใช้เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกประกาศคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว แต่การยกเลิกเราใช้เวลาเกือบ 10 ปี จึงทำสำเร็จ ผมหวังว่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้สภาร่วมกันผลัดดันยกเลิกคำสั่งที่ไม่จำเป็น ล้าสมัย และช่วยกันปกป้องประชาธิปไตย ไม่ให้มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก และไม่ให้มีการใช้อำนาจพิเศษอีก” นายปิยบุตร กล่าว
จากนั้น ที่ประชุมสภาฯ ลงมติในวาระ 3 ด้วยคะแนนเห็นด้วย 402 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง หลังจากนี้จะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป