รบ.อนุมัติ เหตุปะทะเขมร ปชช.เสียชีวิต 1 ล้าน ทุพพลภาพ 7 แสน เจ็บสาหัส 2 แสน
รัฐบาล ให้บาดเจ็บเล็กน้อย จากการปะทะไทย-เขมร รายละ 50,000 บาท
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กระทรวงมหาดไทย (ศบ.ทก.มท.) เพื่อติดตามการบริหารจัดการภัยจากกองกำลังนอกประเทศ การบริหารจัดการศูนย์อพยพ และการดูแลประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์) นายสราวุธ อ่อนละมัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์) นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน (ผอ.ศบ.ทก.มท.) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายธนนท์ พรรพีภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้อง War Room กระทรวงมหาดไทย
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยและได้ติดตามการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยจากกองกำลังนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยสูงสุดให้กับพี่น้องประชาชนรวมถึงการดูแลด้านการดำรงชีพอย่างเหมาะสมดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาทุกจังหวัด อำเภอ ได้มีการบูรณาการทุกภาคส่วนในการสนับสนุนทรัพยากร ทั้งการเคลื่อนย้ายประชาชนจากหมู่บ้าน/ชุมชนไปยังศูนย์อพยพ การดูแลความเป็นอยู่ประชาชนในศูนย์
นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดได้เร่งมอบเงินเยียวยาเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ถึงมือประชาชนและครอบครัวโดยเร็วที่สุด ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการไปแล้ว กรณีเสียชีวิต รายละ 1,000,000 บาท กรณีทุพพลภาพ รายละ 700,000 บาท กรณีบาดเจ็บสาหัส รายละ 200,000 บาท กรณีบาดเจ็บมาก รายละ 100,000 บาท และกรณีบาดเจ็บเล็กน้อย รายละ 50,000 บาท
นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์อพยพทั้ง 4 จังหวัด พบว่าในบางศูนย์ฯ ยังขาดอุปกรณ์จำพวกมุ้ง หมอน ที่นอน เพราะมีพี่น้องประชาชนบางส่วนเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ จึงขอเน้นย้ำให้จังหวัดได้ดำเนินการให้สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของประชาชนมีความเป็นอยู่ที่เหมาะสม โดยใช้เงินทดรองราชการที่ได้อนุมัติวงเงินเพิ่มเติมในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด และภายหลังจากสิ้นสุดสถานการณ์แล้ว ต้องดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด
“ในด้านการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ จังหวัด อำเภอ ต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลจำนวนผู้อพยพ โดยใช้ฐานข้อมูลระบบการลงทะเบียนของกรมการปกครองในการลงทะเบียนประชาชนผู้อพยพทั้งเข้าและออกศูนย์อพยพ เพื่อให้การบริหารจัดการศูนย์อพยพให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และในเรื่องข้อหารือเกี่ยวกับการขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังในด้านต่าง ๆ อาทิ ค่าตอบแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ปฏิบัติหน้าที่จริงและมีความจำเป็นในการเบิกจ่าย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ขอให้ทุกจังหวัดได้รวบรวมและเสนอผ่านอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อประมวลเสนออธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นกรณี ๆ ต่อไป นอกจากนี้ ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้นำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นรัฐมนตรีผู้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจได้พิจารณางดเว้นการเก็บค่าไฟฟ้า และค่าน้ำประปาของศูนย์พักพิงทั่วประเทศ ด้วยเหตุพิเศษจากการได้รับผลกระทบภัยจากกองกำลังนอกประเทศ” นางสาวธีรรัตน์ กล่าว
ด้าน อธิบดีกรมป้องกันสาธารณภัย ได้รายงานสถานการณ์ภัยจากกองกำลังนอกประเทศ ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ได้ส่งผลกระทบในพื้นที่ 7 จังหวัด 39 อำเภอ 294 ตำบล 3,534 หมู่บ้าน (จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และ จ.ตราด) ประชาชนได้รับผลกระทบ 273,770 ครัวเรือน 817,885 คน มีพลเรือนเสียชีวิต 15 ราย ได้รับบาดเจ็บ 38 ราย มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ในพื้นที่ทั้ง 7 จังหวัด รวม 768 แห่ง ผู้อพยพ 191,345 คน โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยพร้อมดูแลด้านการดำรงชีพ จัดทีมแพทย์ดูแลสุขภาพกาย จิตใจ และดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินประชาชน และกรมบัญชีกลางได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาและมีแนวโน้มที่จะยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้นอีกจังหวัดละ 100 ล้านบาท พร้อมทั้งขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพิ่มเติมเป็น 100 ล้านบาท
ด้าน ผอ.ศบ.ทก.มท. กล่าวว่า ศบ.ทก.มท. ได้สั่งการ 7 จังหวัด แจ้งประชาชนในศูนย์อพยพยังไม่ให้กลับบ้านเรือนจนกว่าได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคง รวมทั้งดูแลสถานประกอบการ โรงเรียนต่าง ๆ ที่ได้เริ่มทยอยเปิดแล้วให้มีความปลอดภัย และต้องมีการรายงานการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการรับบริจาคในรูปแบบเงิน ให้ใช้ช่องทางบริจาคผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยจังหวัดสามารถรับบริจาคสิ่งของและกระจายไปยังศูนย์อพยพให้ทั่วถึง
ด้านอธิบดีกรมการปกครอง ได้รายงานการบริหารจัดตั้ง ศบ.ทก.ปค. เพื่อติดตามสถานการณ์และประสานงานสนับสนุนจังหวัด/อำเภอที่เกี่ยวข้องในการดูแลประชาชน และจัดตั้งศบ.ทก.ปค. ส่วนหน้า ที่จังหวัดอุบลราชธานี และจันทบุรี พร้อมสั่งการผู้บังคับการ อส. 7 จังหวัด ประเมินสถานการณ์และสั่งใช้กำลังสมาชิก อส. ตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังใน 7 จังหวัด 22 อำเภอ 63 ตำบล 335 หมู่บ้าน รวมกำลังพล 21,334 อัตรา
ด้านรองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้รายงานการใช้จ่ายงบประมาณในอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อใช้ในการบริหารจัดการช่วยเหลือประชาชน
การประชุมในวันนี้ นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายสุริยา บุตรจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายภพ ภูสมปอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และจังหวัดสระแก้ว ร่วมประชุมผ่านระบบ Video Conference
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS