คนไทยหน่าย ‘การเมืองบีบเลือกข้าง’ หวังแค่ชีวิตที่ดีขึ้น ประเทศมั่นคง
โพล สะท้อน อารมณ์ความรู้สึกของคนไทย ชี้เห็นใจประชาชนที่ต้องทนแรงกดดันจากการแบ่งข้างเลือกข้างทางการเมือง ทั้งที่พวกเขาเพียงอยากมีชีวิตที่ดีกว่าและประเทศชาติมั่นคง
29 มิ.ย.2568 - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “อารมณ์ความรู้สึกของคนไทย” ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 24 - 28 มิถุนายน 2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,093 ตัวอย่าง พบเสียงในใจของคนไทยที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกและความหวังต่ออนาคตประเทศที่ระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.7 รู้สึกเห็นใจประชาชนที่ต้องทนแรงกดดันจากการแบ่งข้างเลือกข้างทางการเมือง ทั้งที่ไม่ต้องการเลือกข้างแต่ถูกบีบบังคับโดยสภาพแวดล้อมทางสังคมให้ต้องตัดสินใจทั้ง ๆ ที่ในหัวใจของพวกเขาเพียงอยากมีชีวิตที่ดีกว่าและประเทศชาติมั่นคง
รองลงมาคือ ร้อยละ 74.2 เห็นใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง ช่วงวัยของคนรุ่นใหม่ที่ต้องแบกภาระชาติทุกอย่างท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ร้อยละ 70.6 เห็นใจนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องต่อสู้กับโครงสร้างและกลุ่มการเมืองแบบเดิม ร้อยละ 68.9 เห็นใจฝ่ายค้านที่ตรวจสอบรัฐบาลภายใต้ข้อจำกัดมากมาย อารมณ์ความรู้สึกของคนไทยเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเป็น “สามัญชน” ที่ยังเต็มเปี่ยมในใจของคนไทยทุกกลุ่ม แม้จะมีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันแต่ทุกคนล้วนเห็นใจคนทำงานไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เมื่อถามถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนไทยในมิติชีวิต ปากท้อง ครอบครัว และความเป็นธรรม พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.8 เห็นใจครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษ ขาดโอกาสที่ดีด้านการศึกษา ร้อยละ 82.5 เห็นใจ ผู้มีรายได้น้อยและข้าราชการบำนาญระดับล่างในยามวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ร้อยละ 80.3 เห็นใจ ครอบครัวตำรวจ ทหาร อาสาสมัครเสียชีวิตจากความไม่สงบชายแดน ร้อยละ 66.5 เห็นใจ การสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากกฎหมายไม่เข้มงวด และร้อยละ 62.3 เข้าใจ ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องยากที่สุดในการแก้ไขของรัฐบาลทุกสมัย
“ความรู้สึกทางสังคมและเศรษฐกิจของประชาชนยิ่งสะท้อนภาพหัวใจของ “สามัญชน” ได้อย่างชัดเจน ผลโพลแสดงให้เห็นว่า คนไทยไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของผู้อื่น และยังมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เผชิญชะตากรรมยากลำบากโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สุดในสังคม ผลโพลนี้ตอกย้ำว่า คนไทยยังมีจิตใจแห่งความเมตตา และรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในโครงสร้างสังคมซึ่งหากรัฐใช้เป็นจุดเริ่มต้นหรือต่อยอดนโยบายจะได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างกว้างขวาง” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถามถึงความหวังที่ยังมีอยู่ในประชาธิปไตย พบว่า แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยแต่ผลโพลยังเผยให้เห็นว่าความหวังต่อระบบที่เปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมยังคงมีอยู่ เพราะผลสำรวจพบว่า รวมแล้วส่วนใหญ่ร้อยละ 77.2 ยังมีระดับความเชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนตั้งแต่ปานกลางถึงมากที่สุด ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนไม่ได้หมดศรัทธา เพียงแต่เรียกร้อง “ประชาธิปไตยที่ใช้งานได้จริง”
โดยสรุป ผลโพลของซูเปอร์โพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถรับฟังเสียง อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนให้มากกว่าการวัดผลตัวเลข ความเข้าใจในอารมณ์ของสังคมคือเครื่องมือสำคัญในการออกแบบนโยบายที่ประชาชนรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วม และระบอบประชาธิปไตยควรเริ่มต้นจาก ความเคารพกันไม่ใช่การเอาชนะ การเมืองที่สร้างแรงกดดันให้ประชาชนต้องเลือกข้างทำให้ประชาชนหมดศรัทธา สิ่งที่ควรมีคือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับความคิดต่าง โดยเร่งฟื้นฟูความเท่าเทียมทางโอกาสในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กยากจนพิเศษ ข้าราชการบำนาญระดับล่าง ผู้มีรายได้น้อย และครอบครัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครชายแดนและในพื้นที่เสี่ยงภัย ล้วนเป็น ตัวชี้วัดความเป็นธรรมของประเทศ ที่ต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน
“เสียงของประชาชนในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่คำตอบในแบบสอบถาม แต่เป็นเสียงของความรู้สึกร่วม เสียงของความเห็นใจ ความเข้าใจและเสียงแห่งความหวังที่ยังมีอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน หากทุกฝ่ายในสังคมเปิดใจฟังเสียงเหล่านี้อย่างจริงจัง ประเทศไทยจะมีโอกาสก้าวข้ามความขัดแย้ง และสร้างอนาคตที่ดี อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันได้อย่างมั่นคง” ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว