นักวิเคราะห์ชี้การเมืองปั่นป่วน เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจ–กดดันแบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ยแรง
ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยทวีความรุนแรง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากความผิดด้านจริยธรรม ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยต่างพยายามหาการสนับสนุนจากพรรคประชาชนที่เรียกร้องให้ยุบสภาและจัดเลือกตั้งใหม่ นักวิเคราะห์หลายสำนักเตือนว่า ความวุ่นวายดังกล่าวอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจที่อ่อนแรง และเพิ่มโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าคาด
ลาวันยา เวนกาเตสวารัน จากธนาคาร Oversea-Chinese Banking Corp. ชี้ว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจนำไปสู่การเลือกตั้งก่อนกำหนดและสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ ขณะที่คริสตัล ตัน จาก ANZ Group Holdings มองว่า หากนโยบายล่าช้าและความเชื่อมั่นถดถอย ธปท. อาจเร่งผ่อนคลายนโยบายการเงิน แม้ผลกระทบอาจจำกัดด้วยข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
เศรษฐกิจไทยอยู่ภายใต้แรงกดดันหลายด้าน ทั้งนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความตึงเครียดชายแดนกัมพูชา และการชะลอตัวทั่วโลก โดย กนง. ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1% ตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว เหลือ 1.5% ในปัจจุบัน ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์จากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คาดว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมวันที่ 8 ต.ค. ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ดำเนินอยู่
ด้านนักวิเคราะห์จากโนมูระ โฮลดิงส์ เตือนว่า ความเปราะบางทางการเมืองและเศรษฐกิจอาจทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของไทยถูกปรับลดลงโดยมูดี้ส์เรทติ้งส์ในอนาคต ขณะที่มูดี้ส์ระบุว่า การเมืองไทยที่แบ่งขั้วและรัฐบาลผสมที่เปลี่ยนบ่อย ทำให้การลงทุนและการปฏิรูปโครงสร้างหยุดชะงัก กดดันศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
ที่มา : RYT9