ชี้ชะตาอิ๊งค์29ส.ค. ศาลนัดลงมติคดีคลิปเสียงอัปยศ/กกต.โต้ยื้อฮั้วสว.8เดือน
นับถอยหลัง 29 ส.ค. ศาล รธน.นัดลงมติคดีคลิปเสียงอัปยศ "อิ๊งค์" หลุด-ไม่หลุดเก้าอี้นายกฯ หากไม่ชิงลาออกก่อน แต่เปิดห้องไต่สวน 21 ส.ค. ให้ "แพทองธาร-ฉัตรชัย เลขาธิการ สมช.” ให้ถ้อยคำ นายกฯ ปิดปากงดจ้อสื่อ ลูกพรรค พท.ดาหน้าอุ้ม ไม่เชื่อข่าวลือชิ่งหนีคำตัดสิน อ้างเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคำร้องในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2568
โดยเอกสารข่าวของสำนักงานศาล รธน.ระบุว่า ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุย ทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนด มาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือผู้ถูกร้องและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายฉัตรชัย บางชวด) ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค.2568 เวลา 10.30 น. พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกหากไม่มาตามกำหนดนัด ถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาล ภายในวันพุธที่ 27 ส.ค.2568 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น
โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนและฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม ช่วงเที่ยง ได้เดินทางไปยังรัฐสภา ซึ่งมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระสอง โดยเป็นการเดินทางไปในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อติดตามการพิจารณาและให้กําลังใจ สส.ของพรรค ซึ่งมีบรรดารัฐมนตรีและ สส.ของพรรคเพื่อไทยมารอต้อนรับ
โดย น.ส.แพทองธารมีสีหน้ายิ้มแย้ม โบกมือทักทายสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามภายหลัง น.ส.แพทองธารไม่ได้ให้สัมภาษณ์เป็นเวลานานว่าสบายดีหรือไม่เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่ง น.ส.แพทองธารไม่ได้ตอบคําถามเพียงแต่ยิ้มเท่านั้น
เมื่อถามอีกว่า กําลังใจในช่วงนี้ยังดีอยู่หรือไม่ น.ส.แพทองธารยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้ตอบคําถามแต่อย่างใด ก่อนเดินขึ้นไปยังห้องรับรองภายในอาคารรัฐสภาทันที
อิ๊งค์หลบสื่อลงชั้นใต้ดินสภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวัน น.ส.แพทองธารอยู่ที่ห้องรับรองรัฐสภา ก่อนที่เวลา 16.00 น. ได้เดินทางออกจากอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารข่าวผลการประชุมว่า นัดฟังคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียง ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.แพทองธารได้ให้รถไปรับที่ชั้นใต้ดิน ไม่ได้ใช้ประตูด้านหน้าอาคาร ซึ่งเป็นจุดดักรอสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าว ส่วนในวันที่ 14 ส.ค. น.ส.แพทองธารจะเดินทางเข้าสภาเพื่อติดตามและให้กำลังใจ สส.ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ด้วย
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัยคดีนายกฯ โดยกล่าวถึงกระแสข่าว น.ส.แพทองธารจะลาออกจากตําแหน่งนายกฯ หลังงบฯ ปี 2569 ผ่านสภา โดยย้ำว่า นายกฯ จะไม่ลาออกจากตําแหน่ง ตนมั่นใจ เพราะไม่รู้จะลาออกทําไม มีคนสร้างกระแสเป็นจํานวนมาก จึงขอให้คนที่ติดตามกระแสข่าวทางการเมืองให้ติดตามจากสื่อหลักเท่านั้น เพราะเดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์สร้างสื่อได้ ยังมีคนไม่หวังดีกับประเทศชาติบ้านเมืองสร้างสื่อสร้างกระแส ให้ฟังจากสื่อหลักที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น ไม่เช่นนั้นฟังแล้วเครียดเปล่า ตนยืนยันเพราะว่าได้ฟังและเจอนายกฯ ที่ยืนยันว่าไม่ลาออก เราให้กําลังใจนายกฯ อย่างเต็มที่ กําลังใจของคนในพรรคเพื่อไทยยังดีเต็มเปี่ยม ไม่มีให้ท้อถอยและไม่กังวลใดๆ ต่อกระบวนการวินิจฉัยของศาล ยังเชื่อมั่นว่านายกฯ บริสุทธิ์ และมีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง
วันเดียวกันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลง เฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต. โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม อย่างร้ายแรง
โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ให้เรียกพยานบุคคลและพยานเอกสาร โดยให้พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องเสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด และจัดส่งข้อมูลพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับรองความถูกต้อง ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่มีการนำเสนอข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ประธาน กกต.ระบุว่าใช้เวลาราว 8 เดือน ในการพิจารณาคดีทุจริตการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 โดยยืนยันว่าเป็นเพียงการอธิบายขั้นตอนและกรอบเวลา
กกต.โต้ลากคดีฮั้วสว. 8 เดือน
เอกสารดังกล่าวระบุว่า ตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2566 เท่านั้น ไม่ใช่ระยะเวลาที่ต้องใช้จริงโดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และได้ชี้แจงขั้นตอนเพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจถึงขั้นตอนและกรอบระยะเวลาตามกฎหมายของ กกต.เพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เวลาในทุกขั้นตอนจนถึงระยะเวลา 8 เดือน
ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้กล่าวถึง โดยสำนักงาน กกต.ได้ดำเนินการในแต่ละขั้นตอนด้วยความรวดเร็วและรอบคอบ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่ากรอบเวลาที่กำหนดไว้ แต่เนื่องจากสำนวนนี้มีพยานหลักฐานเป็นจำนวนมาก จึงอาจต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และในขณะนี้ การดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือก สว.อยู่ในขั้นตอนที่ 2 และเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2566 ซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
ชั้นที่ 1 คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เมื่อได้รับสำนวนแล้วให้ดำเนินการสืบสวนหรือไต่สวนและจัดทำความเห็น เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จให้จัดส่งสำนวนไปยังสำนักงาน กกต. (ส่วนกลาง) โดยเร็วชั้นที่ 2 สำนักงาน กกต. ได้รับสำนวนแล้วให้พนักงานสืบสวนและไต่สวนผู้รับผิดชอบสำนวนดำเนินการวิเคราะห์สำนวนและจัดทำความเห็นเสนอผ่านผู้อำนวยการฝ่าย รองผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนัก และเลขาธิการ กกต. (รองเลขาธิการ กกต.ที่ได้รับมอบหมาย) ชั้นที่ 3 คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง เมื่อคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งได้พิจารณาแล้วจะทำความเห็น และสำนักงาน กกต.เสนอสำนวนให้คณะกรรมการ กกต.พิจารณา
และชั้นที่ 4 คณะกรรมการ กกต. เมื่อคณะกรรมการ กกต.ได้รับสำนวนจากคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งแล้ว ต้องพิจารณาชี้ขาดหรือสั่งการโดยเร็ว ตามประกาศ กกต.เรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมของสำนักงาน กกต. พ.ศ.2566 มีขั้นตอนการวิเคราะห์สำนวนและเสนอความเห็นโดยเลขาธิการ กกต. กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 60 วัน ขั้นตอนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยฯ กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 90 วัน และขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการ กกต. กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จภายใน 90 วัน
สำนักงาน กกต.ขอย้ำว่า การพิจารณาดำเนินคดีเป็นไปตามกระบวนการและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันใดๆ และหากมีเหตุจำเป็นอันสมควร สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่ากรอบเวลาที่กำหนดได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย พร้อมขอให้ประชาชนรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นต่อบุคคลและองค์กร.