วิกฤต ‘กยศ.’ ระบบรวน พึ่งรัฐอุดหนุน ลูกหนี้ขาดความเชื่อมั่น
‘กยศ.’ หรือกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา นับเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงระบบการศึกษาไทย แต่ขณะนี้สถานการณ์ของกองทุนค่อนข้างวิกฤต ผู้กู้ยืมขาดความเชื่อมั่น และกองทุนเองยังขาดสภาพคล่อง ต้องกลับไปขอใช้งบประมาณจากภาครัฐ มาปล่อยสินเชื่อ ให้โอกาสเด็กไทยเข้าถึงการศึกษา
เกิดอะไรขึ้นกับ กยศ.
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้กู้ยืมกยศ. ต่างเผชิญกับปัญหาระบบการชำระหนี้รวนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การหักชำระเงินเพิ่ม 3,000บาท หรือกรณีผู้กู้ยืมที่ถูกหักเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ซึ่งผู้กู้ยืมบางรายได้ชำระหนี้ปกติตามงวดรายปี หรือชำระหนี้เกินกว่างวดที่ต้องชำระแล้ว และยังมีสถานการณ์การชำระหนี้ตามเงื่อนไขแล้ว แต่ยอดหนี้กยศ. ไม่ลดลง อีกทั้งยังคำนวณเพิ่มขึ้น เป็นต้น ปัญหาเหล่าสร้างความกังวลให้กับผู้กู้ยืม และขาดความเชื่อมั่นในระบบการชำระหนี้ของกองทุน
สำหรับสาเหตุดังกล่าว เป็นผลพวงมาจาก กยศ. อยู่ระหว่างปรับปรุงระบบการคำนวณหนี้ใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้ได้มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ คือ ลำดับการลดหนี้ในมาตรา 44/1 (3) กำหนดให้นำเงินที่ผู้กู้ยืมเงินชำระไปหักต้นเงินเฉพาะ ส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย หรือประโยชน์อื่นใด และเงินเพิ่มตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงระบบดำเนินการมาอย่างยาวนาน และยังไม่มีท่าทีที่จะแล้วเสร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้ กยศ. วางเป้าหมายว่า ระบบจะต้องแล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.68 แต่ล่าสุด ได้ขออนุมัติ บอร์ด กยศ. ขยายเวลาในการพัฒนาระบบออกไปอีก
คลังเร่งแก้ปัญหา 4 เรื่องหลัก
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กยศ. จะเร่งปรับระบบปัญหาการทำงานใน 4 เรื่อง ได้แก่
- การปรับปรุงระบบบริการ
- ระบบกระแสเงินสด
- วิธีการชำระหนี้ ซึ่งกยศ. แยกไม่ได้ระหว่างคนที่ลำบาก กับคนนิสัยไม่ดี
- สุดท้ายในเรื่องการกลั่นกรองอนุมัติเงินกู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา เมื่อกยศ. ไม่มีการกลั่นกรองผู้กู้ ก็จะเป็นภาระงบประมาณปีถัดไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเรียนไม่ได้เรียนแค่ปีเดียวจบ
ดึงฐานข้อมูลอารีย์สกอร์ แยก ‘คนลำบาก-นิสัยไม่ดี‘ ออกจากกัน
สำหรับภาพของ กยศ. ต่อจากนี้ จะมีการปรับเกณฑ์ เข้มงวดการอนุมัติเงินกู้เพื่อการศึกษา เพื่อป้องกันกรณีทุจริต เช่น มหาวิทยาลัยบางแห่ง แนะนำให้ผู้ที่ไม่ได้ต้องการเรียนมาร่วมกู้เงินกับกยศ. เพื่อให้มหาวิทยาลัยได้รับค่าเทอมที่กยศ. สนับสนุนให้กับผู้กู้ ส่วนตัวผู้กู้เองนั้น ก็ได้รับเงินค่าครองชีพรายเดือนไปด้วย เป็นต้น โดยเราจะใช้ฐานข้อมูลที่กระทรวงการคลังมี ผ่านอารีย์สกอร์ มาพิจารณาคุณสมบัติของผู้กู้มากขึ้น
นอกจากนี้ จะใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว มาตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ที่บางรายอาจจะมีความตั้งใจเบี้ยวจ่ายหนี้ แม้มีรายได้ และไม่ได้ยากจนจริง โดยการเดินหน้าของกยศ. ระยะต่อไปนี้ จะแยกคนที่ลำบาก และคนที่นิสัยไม่ดีออกจากกัน
“หากคนลำบาก กยศ. จะยังช่วยผ่อนปรนให้เหมือนเดิม แต่คนที่นิสัยไม่ดีเราจะแยกออกมา และจะพิจารณาว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งขณะนี้เรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรม และรายได้ของผู้กู้ได้ กยศ. ก็จะเข้าไปดูข้อมูลผู้กู้ทั้งหมด ทั้งนี้ ยังจะพิจารณาดึงระบบเซ็นรับรองว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยกลับมาใช้ ที่ให้ผู้ใหญ่บ้านต้องเซ็นหนังสือรับรองดังกล่าว”
สำหรับวิธีการตรวจสอบข้อมูลผู้กู้ว่าจนจริงหรือไม่ สามารถดำเนินการตรวจสอบได้โดยง่าย จากฐานข้อมูลภาษี เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเมื่อมีรายได้จากการรับจ้าง ก็จะเห็นข้อมูลของรายได้ ซึ่งหากพบว่า เป็นคนไม่ดี กยศ. สามารถดำเนินการฟ้องร้องได้เลย ส่วนคนที่ยังตกงาน มีหลักฐานว่าผู้กู้ไม่มีรายได้จริง เราก็จะชะลอเรียกเก็บชำระหนี้ออกไปก่อน
ห่วงพัฒนาระบบไม่เสร็จ หวังกลับมาใช้ ‘กรุงไทย’ เรียกเชื่อมั่นผู้กู้
แหล่งข่าวกล่าวว่า การพัฒนาระบบของ กยศ.นั้น ขณะนี้ได้มีการขยายเวลาในการพัฒนาออกไปอีก จากเดิมที่ต้องแล้วเสร็จภายในเดือนก.ค.68 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากกยศ. อยากพัฒนาระบบเอง แต่อาจจะยังติดขัดปัญหาไม่มีความชำนาญ ซึ่งระบบที่ใช้ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้พัฒนา จึงไม่มีปัญหาติดขัด โดยกระทรวงการคลังก็กังวลในเรื่องดังกล่าว อยากให้กยศ. พิจารณากลับมาใช้ระบบจากธนาคารกรุงไทย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับผู้กู้
รัฐอัดงบ 1 หมื่นล้าน อุ้ม กยศ.
จากการปล่อยสินเชื่อแบบเทกระจาด ไม่กำหนดโควตา ในช่วงที่ผ่านมา บวกกับการแก้กฎหมายกองทุนใหม่ ชะลอการฟ้อง หรือดำเนินคดี ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระ และเปลี่ยนเป็นให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้กับกองทุน เพื่อขยายระยะเวลาในการชำระหนี้แทน ส่งผลให้ยอดการจ่ายหนี้มีแนวโน้มลดลง จึงมีผลต่อสถานะกองทุน กยศ. ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ กยศ. ต้องขอใช้งบประมาณจากภาครัฐ เพื่อมาสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพระหว่างการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบฯกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นภายในกรอบวงเงิน 2,838 ล้านบาท
ล่าสุด ครม. ยังได้อนุมัติงบประมาณ 8,488 ล้านบาท ภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้กับ กยศ. เพื่อรองรับการจัดสรรเงินกู้ยืม ครั้งที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 สำหรับเป็นค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาให้แก่นักเรียน/นักศึกษาผู้กู้ยืมรายเก่าและรายใหม่ ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามที่ กยศ.กำหนด
เรียกได้ว่า ปัญหากยศ.ครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่เรื่องระบบขัดข้องหรือความเชื่อมั่นของผู้กู้เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออนาคตการศึกษาไทยโดยตรง หากระบบจัดเก็บหนี้ยังมีปัญหา และการคัดกรองผู้กู้ไม่รัดกุม เงินช่วยเหลืออาจถูกใช้ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ผู้ที่เดือดร้อนจริงเสียโอกาส
เมื่อรายได้จากการชำระหนี้ลดลง รัฐจึงต้องใช้งบประมาณเข้ามาอุดหนุนมากขึ้นทุกปี กลายเป็นภาระทางการคลังที่ขยายตัวต่อเนื่อง หากไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง โอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยอาจถูกจำกัด และภาครัฐก็ต้องรับภาระกองทุนนี้ไปอีกยาวนาน