นบ.ยส.35 แถลงผลปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” 6 เดือนสกัดกั้นยาบ้าทะลุ 233 ล้านเม็ด
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ณ โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ทเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35) ได้จัดแถลงผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน ในพื้นที่ 21 อำเภอชายแดนภาคเหนือ โดยมีพลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ.นบ.ยส.35) เป็นประธานการแถลงข่าว ร่วมกับ พลตรี ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พันเอก มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง พ.ต.อ.ทักษิณ จันทะวงค์ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พ.ต.อ.รังสิมันต์ สงเคราะห์ธรรม รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายภูธนะ ชมภูมิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา นางสาวหทัยภรณ์ อินต๋า ผู้อำนวยการส่วนควบคุมทางศุลกากร สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 และนายธันวา ผุดผ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 5
ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา กำหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเด็ดขาดและครบวงจร จากสถานการณ์ยาเสพติดตามชายแดนที่แพร่ระบาด คณะกรรมการ ป.ป.ส. จึงได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและกำหนดผู้รับผิดชอบตามมาตรา 5 (10) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ในพื้นที่ 14 จังหวัด 51 อำเภอชายแดน แม้ที่ผ่านมาจะสามารถสกัดกั้นยาเสพติดได้จำนวนมาก แต่ยังปรากฏว่ามียาเสพติดหลุดรอดเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศหรือผ่านไปยังประเทศที่ 3 เพื่อให้เกิดการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้นขึ้น จึงได้กำหนดให้มีแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกําลัง 51 อำเภอชายแดน โดยมุ่งหวังที่จะแก้ไขการลักลอบนําเข้ายาเสพติดไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายในระยะ เวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม 2568 ภายใต้กรอบแนวคิด Seal พื้นที่ชายแดน Stop หยุดวงจรยาเสพติด และ Safe สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับชุมชน
โดยชายแดนภาคเหนือมีพื้นที่เป้าหมายดำเนินการ 6 จังหวัด 21 อำเภอ ดังนี้ จังหวัดเชียงใหม่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง และอำเภอไชยปราการ , จังหวัดเชียงราย 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่จัน อำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น และอำเภอเทิง , จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปาย และอำเภอปางมะผ้า , จังหวัดพะเยา 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอภูซาง , จังหวัดน่าน 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และจังหวัดตาก 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภออุ้มผาง อำเภอพบพระ อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด และอำเภอท่าสองยาง
แม้ปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” จะมีกรอบระยะเวลาดำเนินการเพียง 6 เดือน แต่ผลการดำเนินการกลับสะท้อนถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจน ทั้งในด้านการสกัดกั้นยาเสพติด การจับกุมเครือข่ายการค้ายาเสพติด การขยายผลสู่การยึดทรัพย์สิน และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยตามแนวชายแดนจากผลปฏิบัติการสามารถสกัดตรวจยึดยาบ้าได้จำนวน 233,259,598 เม็ด ไอซ์ 8,786 กิโลกรัม รวมถึงยาเสพติดชนิดอื่นและสารเคมีที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด กลุ่มขบวนการเสียชีวิตจำนวน 25 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่ามีการตรวจยึดยาบ้าเพิ่มขึ้นต่อเดือนถึงร้อยละ 33 ส่วนไอซ์ ตรวจยึดได้เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว
นอกจากนี้การบังคับใช้กฎหมาย สามารถดำเนินการต่อเครือข่ายการค้ายาเสพติดตามเป้าหมายได้จำนวน 24 เครือข่าย และขยายผลโดยการใช้มาตรการสมคบ สนับสนุนและช่วยเหลือได้อีก 66 คดี จับกุมคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดได้จำนวน 1,985 คดี และยึดทรัพย์สินกลุ่มขบวนการ มูลค่ากว่า 389 ล้านบาท
ในด้านการสร้างพื้นที่ปลอดภัย สามารถส่งเสริมให้มีกำลังภาคประชาชนในการมีส่วนร่วมเฝ้าระวังยาเสพติด โดยจัดตั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านได้ครบตามเป้าหมายจำนวน 1,553 หมู่บ้าน ซึ่งกำลังภาคประชาชนสามารถให้การสนับสนุนงานด้านการข่าว การเฝ้าระวัง การสกัดกั้น และการป้องกันยาเสพติดให้กับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการปฏิบัติการอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่เชิงบวก โดยพบว่ากลุ่มขบวนการมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่นำเข้ายาเสพติดไปยังพื้นที่แห่งใหม่ เช่น พื้นที่จังหวัดน่าน และพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตลอดจนปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเข้าและลำเลียงที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพื่อต่อต้านการสกัดกั้นหรือการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ เช่น การลำเลียงโดยส่งพัสดุภัณฑ์ การลักลอบลำเลียงในระยะสั้นๆ และส่งต่อเป็นทอดๆ เพื่อหวังตัดตอนไม่ให้สาว/ขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอื่นนอกจากนี้ การสกัดกั้นที่เข้มข้นและต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดบริเวณชายแดนภาคเหนือเกิดความเกรงกลัว ส่งผลต่อราคาค่าจ้างในการขนลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนเพิ่มสูงขึ้น และขาดแรงงานในการลำเลียงอีกด้วย
พลโท กิตติพงศ์ กล่าวว่า การปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ถือเป็นกลไกการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถยกระดับการดำเนินการของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และส่งผลให้การสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนของไทยมีความเข้มแข็ง ครอบคลุม และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ความสำเร็จ
ในครั้งนี้เป็นผลจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง โดยมีสำนักงาน ปปส.ภาค 5 และภาค 6 เป็นฝ่ายเลขานุการ และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยภาคี อาทิ ศุลกากรภาค 3 สำนักงานอัยการภาค 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กอ.รมน. และกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแจ้งเบาะแส แม้กรอบเวลาดำเนินการตามแผน “Seal Stop Safe” จะสิ้นสุดลง แต่หน่วยงานในพื้นที่ยังคงมีหน้าที่ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือต่อไป ซึ่งยังคงมุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องมือพิเศษ โดรนตรวจการณ์ กล้องอินฟราเรด และระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเสริมประสิทธิภาพการปราบปรามยาเสพติดให้ลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น