เมื่อสมัครใจลาออก จะจัดการเงินให้อยู่รอดยังไง ทริก 4 ขั้นตอน รับมือจุดเปลี่ยนใหญ่มนุษย์เงินเดือน
เป็นข่าวฮอตกลางเดือนสิงหาคมนี้ เมื่อธนาคารกสิกรไทยออกประกาศภายใน เริ่มโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดภายใต้ชื่อ “โครงการเกษียณก่อน เกษมสุข” โดยให้พนักงานที่มีอายุ 45-60 ปี สามารถยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ภายใน 15 สิงหาคม - 7 ตุลาคม 2568 และผู้ที่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารจะถือเป็นการลาออกก่อนเกษียณอายุ และมีผลตั้งแต่ 1 ธันวาคม ปีนี้
สำหรับมนุษย์เงินเดือนหลายคนที่ได้ยินข่าวนี้ เริ่มร้อนๆ หนาวๆ ว่า เศรษฐกิจไทยที่เติบโตไม่ถึง 2% ในปีนี้และโตต่ำมาอย่างต่อเนื่อง จากรายงานข่าวเรื่องจีดีพีจากสภาพัฒน์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ผสมกับอารมณ์ความรู้สึกเรื่องเศรษฐกิจไทยไปไม่ถึงไหนหลังการเลือกตั้งปี 2566
ทำให้มนุษย์เงินเดือนต้องคิดทบทวนว่า หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆ จะทำยังไงกับภาระที่มีอยู่
แม้การสมัครใจลาออก จะได้รับเงินก้อนโตทั้งจากเงินชดเชยการเข้าโครงการสมัครใจลาออก, เงินช่วยเหลือพิเศษ, เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และผลประโยชน์อื่นๆ ที่สะสมไว้
แต่เงินก้อนนี้ ไม่ใช่ “เงินรางวัล” หากเป็น “ต้นทุนชีวิต” หลังออกจากงาน ที่ต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและสิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อไปจนถึงวัยสูงอายุ หรือจนกว่าจะมีงานใหม่ เงินใหม่เข้ามาเติม
เปิด 4 ขั้นตอน คู่มือมนุษย์เงินเดือน ที่คิดจะ “สมัครใจลาออก”
แนวทางสำหรับผู้ที่อาจพบกับสถานการณ์ เช่นกรณีพนักงานบางส่วนของธนาคารดังกล่าว มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: "ตั้งสติ" ก่อน "ตั้งตัว" - สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อได้รับเงินก้อน
เมื่อเงินจำนวนมากเข้าบัญชี สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "การตั้งสติ" อย่าเพิ่งรีบร้อนนำเงินไปใช้จ่ายก้อนโต หรือลงทุนตามคำชวนของใคร
- พักเงินไว้ในที่ปลอดภัย: นำเงินทั้งก้อนไปฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หรือบัญชีฝากประจำระยะสั้นที่ถอนง่ายและมีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพื่อป้องกันการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น และให้เวลาตัวเองได้ทบทวนแผนการเงินอย่างรอบคอบ
- สำรวจสถานะทางการเงินทั้งหมด: ทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่
-ทรัพย์สิน: เงินก้อนที่ได้รับ, เงินฝากอื่นๆ, การลงทุน, อสังหาริมทรัพย์, ยานพาหนะ
-หนี้สิน: หนี้บ้าน, หนี้รถ, หนี้บัตรเครดิต, หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล
-เป้าหมาย: เพื่อให้เห็นภาพรวมทางการเงินที่แท้จริงว่ามี "ทุนชีวิตสุทธิ” เท่าไหร่
ขั้นตอนที่ 2: ทำความเข้าใจ "ขุมทรัพย์" ในมือ - เงินก้อนนี้มาจากไหนบ้าง?
เงินก้อนที่ได้รับประกอบด้วยส่วนต่างๆ ซึ่งมีที่มาและเงื่อนไขทางภาษีแตกต่างกัน การทำความเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
1.เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน และเงินช่วยเหลือพิเศษ
-จากกรณีนี้ สมมติ คุณมีอายุงาน 25 ปี มีเงินเดือนขั้นสุดท้ายก่อนออกคือ 55,000 บาท นั่นหมายความคุณจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานสูงสุดคือ 400 วันของค่าจ้างสุดท้าย (ประมาณ 733,333 บาท จากฐานเงินเดือน 55,000 บาท)
-อาจมีเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่มเติมตามนโยบายของบริษัท
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักมากๆ คือ เรื่องภาษี เพราะเงินชดเชยส่วนนี้ หากไม่เกิน 300,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนที่เกินจะต้องนำไปคำนวณภาษี แต่สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบพิเศษได้
2.เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) นี่คือเงินก้อนสำคัญที่สุดที่เก็บออมมาตลอดการทำงานของมนุษย์เงินเดือน และเป็นหัวใจของแผนการเกษียณ
ทางเลือกในการจัดการ:
-คงไว้ที่กองทุนเดิม (ถ้าเงื่อนไขอนุญาต): เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน สามารถคงสถานะไว้เพื่อรอให้เงินเติบโตต่อไป บางแห่งให้คงไว้นานสุดถึง 1 ปี
-โอนย้ายไปยัง RMF (Retirement Mutual Fund) กองอื่นๆ: ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อ "เลื่อน" การเสียภาษีออกไปก่อน และให้เงินได้ลงทุนต่อเนื่อง และสามารถทยอยขายคืนเมื่อต้องการใช้เงินหลังอายุ 55 ปีบริบูรณ์
-รับเป็นเงินก้อนออกมาทั้งหมด: เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณาเป็นอันดับสุดท้าย เพราะเงินส่วนนี้ (ทั้งส่วนของนายจ้างและผลประโยชน์) จะต้องถูกนำไปคำนวณภาษี ซึ่งอาจทำให้เสียภาษีจำนวนมาก และทำให้เงินทุนสำหรับเกษียณลดลงอย่างน่าเสียดาย
3.เงินสะสมประกันสังคม (กรณีชราภาพ): นี่ไม่ใช่เงินก้อนที่จะได้รับทันที แต่เป็นหลักประกันในอนาคต
เมื่อคุณอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน จะสามารถยื่นขอรับ "เงินบำนาญชราภาพ" ได้ ซึ่งจะได้รับเป็นรายเดือนไปตลอดชีวิต
จากกรณีตัวอย่าง สมมติ คุณมีอายุงาน 25 ปี แต่มีอายุ 47 ปี ณ วันเข้าโครงการสมัครใจลาออก และคุณส่งเงินสมทบประกันสังคมมาตลอด 25 ปี โดยใช้ฐานเงินเดือนสูงสุด (15,000 บาท) จะได้รับบำนาญประมาณเดือนละ 4,000 - 5,000 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพแน่นอน ดังนั้นจึงต้องวางแผนการเงินส่วนอื่นเสริม
ขั้นตอนที่ 3: สร้างแผน "กระแสเงินสด" รับมือช่วงว่างงาน หรือก่อนจะอายุครบ 55 ปี
ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดคือ "8 ปี" ก่อนที่คุณจะอายุครบ 55 ปี ซึ่งเป็นวัยที่สามารถรับบำนาญชราภาพจากประกันสังคมได้ คุณต้องวางแผนให้เงินก้อนที่มีอยู่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตและสร้างผลตอบแทนให้ได้ ด้วยวิธีเช่น
1.จัดทำงบประมาณรายเดือนใหม่: โดยต้องลืมเงินเดือน 55,000 บาทไปก่อน แล้วคำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆ ในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน/รถ, ค่าน้ำไฟ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่ารักษาพยาบาล
2.กันเงินสำรองฉุกเฉิน: สำรองเงินสดสำหรับค่าใช้จ่าย 6-12 เดือน ไว้ในบัญชีที่ถอนง่ายที่สุด เผื่อกรณีเจ็บป่วยหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
3.จัดการหนี้สิน: นำเงินส่วนหนึ่งไป "ปิดหนี้" ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อลดภาระรายจ่ายและสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
4.วางแผนสิทธิประกันสังคมและสุขภาพ: สิทธิประกันสังคมของคุณจะสิ้นสุดลงหลังลาออก ควรตัดสินใจว่าจะรักษาสิทธิต่อหรือไม่
- สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39: จ่ายเงินสมทบ 432 บาท/เดือน เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์หลักๆ เช่น กรณีเจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต และยังคงนับระยะเวลาเพื่อคำนวณเงินบำนาญชราภาพต่อไป เป็นทางเลือกที่แนะนำอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังไม่มีสวัสดิการอื่นรองรับ
- ซื้อประกันสุขภาพส่วนตัว: หากต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น ควรเจียดเงินมาซื้อประกันสุขภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่ารักษาพยาบาลที่อาจบั่นทอนเงินเก็บทั้งชีวิต
ขั้นตอนที่ 4: "ต่อยอดเงิน" วางกลยุทธ์ลงทุนสร้างความมั่งคั่ง
เมื่อจัดการเรื่องพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาทำให้เงินก้อนที่มีงอกเงย เป้าหมายไม่ใช่การรวยเร็ว แต่เป็นการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและชนะเงินเฟ้อ
1.แบ่งเงินลงทุนเป็น 3 ส่วน (Bucket Strategy):
ส่วนที่ 1: สภาพคล่อง (1-3 ปี): เงินสำหรับใช้จ่ายในระยะสั้น ควรอยู่ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝากประจำ, กองทุนรวมตลาดเงิน, กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น
ส่วนที่ 2: สร้างการเติบโต (3-7 ปี): เงินส่วนกลางที่ต้องการผลตอบแทนมากขึ้น แต่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจลงทุนในกองทุนรวมผสม, หุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี, หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า
ส่วนที่ 3: เติบโตระยะยาว (7 ปีขึ้นไป): เงินสำหรับอนาคตหลังเกษียณ สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงขึ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว เช่น กองทุนรวมหุ้นไทย/ต่างประเทศ หรือหุ้นรายตัว ซึ่งแน่นอน คุณต้องศึกษาหาความรู้เรื่องหุ้นและการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะช่วงว่างงาน เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน การได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ จะทำให้ชีวิตไม่เคว้งคว้าง
2.กระจายความเสี่ยง: อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว
ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม
3.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
การมีที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้การวางแผนการลงทุนทำได้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ใดๆ แล้วการต้องออกจากงานประจำไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิต เงินก้อนที่ได้รับมาคือเครื่องมือและโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ด้วยการ "ตั้งสติ" วางแผนอย่างรอบคอบ จัดการหนี้สิน ปกป้องความเสี่ยง และต่อยอดเงินลงทุนอย่างถูกวิธี
ด้วยแนวทางจาก 4 ทริกข้างต้น เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถก้าวผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้ และมีความสุขกับอิสรภาพทางการเงินที่ออกแบบได้ด้วยตัวเอง เป็นกำลังใจให้มนุษย์เงินเดือนทุกๆ คน
ที่มา: สมาคมนักวางแผนการเงินไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักงานประกันสังคม
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money
เพื่อให้คุณ “การเงินดีชีวิตดี” ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เมื่อสมัครใจลาออก จะจัดการเงินให้อยู่รอดยังไง ทริก 4 ขั้นตอน รับมือจุดเปลี่ยนใหญ่มนุษย์เงินเดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กระทรวงแรงงานตั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว
- รัฐบาล เตือนเกษตรกรรีบลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือไร่ละ 1 พันบาท
- อย่าฝันถึงความมั่นคง ถ้ายังไม่มีแผนสำรอง 5 วิธีจัดการเงิน ให้อยู่รอด ในยุคชนชั้นกลางกำลังสั่นคลอน
- "มาดามแป้ง" นายกส.บอล เคลื่อนไหวแล้ว หลังต้องจ่ายเงิน 360 ล้าน ปมแพ้คดีสยามกีฬา
- ชายญี่ปุ่นติดคุกฟรีเกือบ 50 ปี ได้รับเงินชดเชย 49 ล้านบาท
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath