รบ.กล่อม31CEOลงทุน เร่งคุยยกสองภาษีทรัมป์
“ภูมิธรรม” เปิดทำเนียบฯ ถกซีอีโอ 31 บริษัทยักษ์ ปลุกเชื่อมั่นสู้ภาษีทรัมป์ ตีปี๊บดึง 6 ราย ลงทุน 5.1 หมื่นล้าน จ้างงานทันที 1,880 อัตรา เงินสะพัดแสนล้านต่อปี "ทีมไทยแลนด์" ลุยเจรจาสหรัฐยกสองต่อ ลงลึกรายละเอียด "พิชัย" เร่งให้เสร็จภายในเดือนนี้ พร้อมเดินหน้าวางโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ กกร.เชื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มคลี่คลาย คาดจีดีพีไทยปีนี้โตได้ถึง 2.2%
ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระดับสูงนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย ในงาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future - Prime Minister's Dialogue with Global Investors” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์, นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), ผู้บริหารบริษัทชั้นนำกว่า 30 บริษัท จาก 4 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์ไฟฟ้า, ศูนย์ข้อมูล และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio - Circular - Green Economy) ร่วมหารือ
จากนั้นเวลา 11.00 น. นายภูมิธรรมแถลงภายหลังการหารือระดับสูงนักลงทุนว่า รัฐบาลไทยได้เชิญผู้บริหารระดับสูงจาก 31 บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท มีการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง มาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19%
สำหรับความพยายามของรัฐบาลในการชักจูงการลงทุน ไม่เพียงขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจด้านการลงทุนและการจ้างงานเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านสังคม เกิดการถ่ายทอดความรู้ ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะสอดรับกับความต้องการของอุตสหากรรมยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ ยังเกิดการถ่ายทอดความรู้และความช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตและการเพาะปลูกที่สอดคล้องกับมาตรฐานของโลก สร้างความสามารถในการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปต่างประเทศ โดยนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ภายหลังการหารือกับนักลงทุนทั้ง 31 บริษัทนี้ ตนจะร่วมเป็นพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา บีโอไอ และผู้ผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ชั้นนำระดับโลก 6 ราย ซึ่งมีเงินลงทุนรวมกว่า 51,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษาให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม โดยความร่วมมือนี้จะก่อให้เกิดการจ้างงานทันที 1,880 อัตรา รวมกันไม่น้อยกว่า 3,000 อัตรา ภายใน 5 ปี เกิดการพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถานศึกษาอาชีวะและภาคอุตสาหกรรม
ความร่วมมือนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า นอกจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศแล้ว ยังเกิดการยกระดับพัฒนาบุคลากรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนระดับอาชีวะ พร้อมยกระดับทักษะให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งในกลุ่มนี้มีทั้งบริษัท PCB ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และผู้นำของไทยร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย โดยการลงทุนจากบริษัทระดับโลกเหล่านี้ ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยต่อยอดไปยังภาคเกษตรกรรม การศึกษา และธุรกิจท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้านนายพิชัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ที่จะเก็บจากไทย 19% ว่า ในขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะส่งเรื่องไปที่สภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากยังมีขั้นตอนในการทำงานกับทางสหรัฐ โดยขณะนี้ยังมีการเจรจากันในรายละเอียดหัวข้อต่างๆ ซึ่งจะเริ่มทำจากนี้ต่อไป และพยายามจะทำให้เสร็จภายในเดือนนี้ ทั้งนี้หลายประเทศอยู่ในขั้นตอนทำรายละเอียด เพราะทางสหรัฐเองมีเจ้าหน้าที่น้อย
เมื่อถามว่า หลังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีของไทยจะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3-5% หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า หากไม่มีอุปสรรคอะไรน่าจะอยู่ในระดับนั้น โดยเราต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของไทย ถ้าแก้ไม่ได้จะลำบาก
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.2568 สินค้าที่ส่งออกจากไทยไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษีที่อัตราเดียว 19% แต่จะยังไม่ถูกเก็บภาษี 40% เนื่องจากสหรัฐยังไม่ได้ออกระเบียบในเรื่องสินค้าผ่านแดน และยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าออกมา ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐยังคงถูกเก็บภาษีตามเดิม ยังไม่ยกเว้นเป็น 0% เนื่องจากการที่ไทยจะลดภาษีเหลือ 0% ได้นั้น จะต้องลงนามบรรลุข้อตกลงอัตราภาษีต่างตอบแทน และผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเสียก่อน
สำหรับขั้นตอนการเจรจาของรัฐบาลไทยหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติถ้อยแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าไม่กี่วันหลังจากนี้สหรัฐจะออกแถลงการณ์ร่วมออกมา จากนั้นทีมไทยแลนด์ยังมีภารกิจเจรจากับสหรัฐยกสองต่อ เพื่อให้บรรลุข้อตกลงที่เรียกว่าข้อตกลงอัตราภาษีต่างตอบแทน (ART Text) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการทำข้อตกลงเรื่องมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น กฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า ตลอดจนเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ
“ล่าสุดได้รับแจ้งจากสหรัฐว่า จะเริ่มเจรจาเกี่ยวกับรายละเอียด เทคนิคด้านถิ่นกำเนิดสินค้า RVC มาตรการไม่ใช่ภาษีกับไทยได้ในช่วงปลายเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เพื่อเร่งบรรลุข้อตกลง ART Text โดยเร็วที่สุด เพื่อขั้นตอนต่อไปจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ผู้แทนประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจว่าข้อตกลงดังกล่าวเหมาะสมกับไทยหรือไม่” นายฉันทวิชญ์ระบุ
ส่วนสินค้าที่เปิดเสรี 0% ให้กับสหรัฐกว่า 1 หมื่นรายการ ยืนยันว่ารัฐบาลดูแลอย่างรอบคอบ โดยส่วนใหญ่กว่า 60% หรือ 6,000 รายการ เป็นสินค้าที่ไทยได้เปิดเสรีให้สหรัฐ 0% อยู่แล้ว และเป็นสินค้าที่ไทยเปิดภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้กับประเทศอื่นด้วย และอีกกว่า 20% มากกว่า 2,000 รายการ เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้รับผลกระทบ หรือเป็นสินค้าที่สหรัฐแทบจะไม่มีโอกาสส่งออกมาไทย เช่น ปลานิล ลำไย อย่างไรก็ตาม วันที่ 7 ส.ค. กระทรวงพาณิชย์เตรียมเปิดศูนย์ One Stop Service เพื่อช่วยผู้ประกอบการรับมือกับภาษีสหรัฐ
วันเดียวกัน นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า เศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น หลังสหรัฐประกาศข้อตกลงด้านภาษีกับหลายประเทศ ส่วนใหญ่ปรับลดลงกว่าที่ประกาศเมื่อเดือนเม.ย. โดยเฉพาะสำหรับประเทศในเอเชียและอาเซียน ขณะที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า โดยใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของภาคเอกชน
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.0% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% สูงกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน โดยความสำเร็จจากการเจรจาการค้าส่งผลให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% แทน 36% ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป เบื้องต้นทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว.