หมดมุขดันหุ้น?
ก่อนอื่นต้องย้ำกับแฟนคลับที่เม้าท์มอยกันเป็นเวลาหลายปีว่า อีฉันเป็นคนที่คิดอะไรง่าย ๆ ไม่มีอะไรที่ทำแบบซับซ้อน และไม่มีอะไรที่เป็นเงื่อนไข เพราะเชื่อว่า การพูดอะไรที่เป็นไปตามเนื้อผ้าจะทำให้ทุกคนได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่“โมนิก้า” ย้ำก่อนหน้านี้ว่า แนวต้านสำคัญของเที่ยวนี้อยู่ที่ระดับ 1,230 จุด และมีจุดเฝ้าระวังอยู่ที่บริเวณ 1,218 จุด รวมทั้งมีการทดสอบแรงขายอย่างหนักหน่วงที่บริเวณ 1,210 จุดไงล่ะคะ
ถามว่า ทำไมต้องย้ำเรื่องนี้บ่อยเหลือเกิน? อีฉันเลยขอตอบว่า พื้นฐานให้ระดับเหมาะสมของดัชนีได้แค่นี้! และในมุมของสัญญาณเทคนิค ก็ยังไม่มีจุดไหนที่ชี้ว่า ดัชนีจะขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา ประกอบกับช่วงนี้มีการทยอยประกาศงบไตรมาส 2 ออกมาเรื่อย ๆ จึงทำให้รู้ว่า สิ่งที่อีฉันประเมินไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นะตัวเอง
เนื่องจากกำไรของแบงก์ใหญ่ที่เป็นตัวท็อปของตลาดหุ้นไทยออกมาต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในรายของ KBANK ซึ่งได้ชื่อเป็นแบงก์ที่ปล่อยกู้ให้กับเอสเอ็มอีเยอะมาก ก็แสดงกำไรแค่ 1.24 หมื่นล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.28 หมื่นล้านบาทแบบนี้..เหมือนเป็นการย้ำอีกครั้งว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กกำลังรวนหนัก เลยส่งผลกระทบมาถึงกำไรของยักษ์เขียวนะจะบอกให้
ตรงกันข้ามกับในรายของแบงก์ดอกบัว BBL ที่ทำมาหากินกับบริษัทใหญ่ ๆ เป็นหลัก กลับสามารถประคองกำไรได้เท่ากับปีก่อนที่ระดับ 1.18 หมื่นล้านบาท ก็เป็นอีกหนึ่งภาพที่ย้ำให้เห็นว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้มีปัญหาหนักหน่วงก็จริง แต่โอกาสเติบโตของบริษัทใหญ่ก็ตีบตันเหมือนกัน จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่า ไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจอยู่แล้วจะกระทบกับกำไรของแบงก์รายนี้ไหม?
ส่วนแบงก์ที่หากินกับภาครัฐอย่างหุ้น KTB ไม่ได้ดีไปกว่าสองรายข้างต้นที่อีฉันเอ่ยถึง และสถานการณ์กลับดูแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นที่รับรู้กันมานานว่า นี่เป็นเสือนอนกินที่สบายกว่าแบงก์อื่น ๆ แต่กลับทำกำไรได้แค่ 1.11 หมื่นล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนทำได้แค่ 1.17 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นตัวเลขที่ลดลงไม่มากเมื่อเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลเฮงซวยรับมือไม่ได้แบบนี้..แล้วใครจะกล้าให้แวลูหุ้นมากกว่านี้ล่ะคะ
สำหรับรายที่ดูดีสุดในกลุ่มแบงก์ก็คือ SCB เพราะธุรกิจลูกที่อยู่ในตระกูล X เริ่มออกดอกผลมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้กำไรไตรมาส 2 โตถึง 27% แบบนี้ ถือเป็นช็อตที่ทำให้นักลงทุนพูดถึงหุ้นตัวนี้อย่างมากมาย และถ้ามองไปถึงแผนบุกธุรกิจในโลกยุคใหม่แบบสุดซอย“โมนิก้า” ก็เชื่อว่า หุ้นตัวนี้จะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีการส่งผ่านธุรกิจอย่างราบรื่น จึงต้องชมเชยหัวเรือใหญ่อย่างคุณพี่ “อาทิตย์” มากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ
เมื่อเม้าท์ถึงหุ้นแบงก์ที่ทำผลงานดีขึ้นมาทั้งที“โมนิก้า” กลับนึกถึงหุ้น CREDIT ขึ้นมาซะอย่างนั้น ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรไตรมาส 2 เติบโต 10% แถมราคาที่เห็น ณ เวลานี้ ก็เป็นบริเวณโลว์เก่าที่หุ้นลงมาแตะ ต่อจากนั้นก็ไต่เพดานกลับขึ้นไปแถว 20 บาท อีฉันเลยมองการยืนปิดที่ระดับ 16.70 บาท บวกไป +0.20 บาท หรือขึ้นไป 1.21% น่าสนใจเหลือเกิน เพราะเป็นการเทรดบน PE 5 เท่า และมีอัตราเงินปันผลอยู่ที่ 3.64% นะจะบอกให้
ฉะนั้นการที่ดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,191.75 จุด ลบไป16.38 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย4.90 หมื่นล้านบาท จึงเหมือนเป็นภาพสะท้อนเกี่ยวกับความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี เพราะคาแรกเตอร์ของแต่ละแบงก์ได้บอกใบ้ให้นักลงทุนรับรู้อย่างเป็นทางการแล้วว่า หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม และดอกแรกที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญก็หนีไม่พ้นภาษีทรัมป์ ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้จะ“ออกหัว” หรือ“ออกก้อย” นะซี
โมนิก้าและทีมงาน