Happy School Break เปลี่ยนเวลาว่างปิดเทอม เป็นโอกาสเรียนรู้ของลูก
เมื่อเข้าสู่ช่วงปิดเทอม เด็กๆ หลายคนเฝ้ารอวันหยุดด้วยความตื่นเต้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง หลายครอบครัวกลับรู้สึกวิตกว่าช่วงเวลานี้จะผ่านไปอย่างไรโดยไม่สูญเปล่า โดยเฉพาะในครอบครัวยากจนหรือครอบครัวที่พ่อแม่ต้องทำงานทั้งวัน ไม่มีเวลาพาไปเที่ยวหรือจัดกิจกรรมให้อย่างที่ใจอยาก ปิดเทอมจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่เด็กหลายคนอยู่บ้านลำพัง ใช้เวลาไปกับหน้าจอ หรือไม่ก็เผชิญความเสี่ยงโดยไม่มีใครรับรู้
ครูแอ๋ม – นางสาวศิริพร พรมวงศ์คือหนึ่งในบุคคลที่เห็นปัญหาเหล่านี้อย่างลึกซึ้งและลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมพลัง: สร้างพื้นที่เรียนรู้ใกล้บ้านให้เด็กทุกคนเข้าถึงได้จริง เธอทำงานผ่านบทบาทอาสาสมัครในกลุ่มคลองเตยดีจัง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนทางเลือก Freeform School และเป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการ “ปิดเทอมสร้างสรรค์” หรือ “Happy School Break” ที่ขับเคลื่อนร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อให้เด็กๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในช่วงปิดเทอม
เวลาว่างที่แฝงความเสี่ยง หากไม่มีใครดูแล
ครูแอ๋มเล่าว่า ปิดเทอมคือช่วงที่เด็กๆ พักจากระบบการศึกษาอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับเด็กจำนวนมากโดยเฉพาะในชุมชนแออัดหรือครอบครัวรายได้น้อย ช่วงเวลานี้กลับกลายเป็น “เวลาว่างที่ไม่มีประโยชน์” หรือหนักไปกว่านั้นคือ “เวลาที่เสี่ยง” ต่อการเกิดปัญหาหลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นการติดเกม การอยู่กับหน้าจอทั้งวันจนขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว เสี่ยงถูกหลอกลวงจากไซเบอร์ อุบัติเหตุอย่างการจมน้ำ รวมไปถึงการเริ่มต้นใช้สารเสพติดที่มักเกิดในช่วงวัยว้าวุ่นเช่นนี้
ปลุกชีวิตให้ปิดเทอม ด้วยพื้นที่เรียนรู้ใกล้ตัว
จากสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ครูแอ๋มและทีมเครือข่ายกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมกับ สสส. จึงริเริ่มโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ ที่มีเป้าหมายชัดเจน ทำให้ช่วงปิดเทอมกลายเป็นโอกาสทองแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่การหยุดพักจากการเรียนในห้องเรียน
เธอและทีมงานมองเห็นว่า เด็กแต่ละคนมีศักยภาพและความสนใจที่ต่างกัน ระบบการศึกษาในห้องเรียนอาจยังไม่สามารถตอบโจทย์ความหลากหลายนี้ได้หมด แต่ “ปิดเทอม” คือโอกาสที่เด็กจะได้เลือกเองว่าต้องการเรียนรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะ ธรรมชาติ วิชาการ หรือแม้แต่การฝึกอาชีพ
“เราอยากให้ปิดเทอมเป็นช่วงที่เด็กได้เลือกเรียนในสิ่งที่สนใจจริงๆ ได้ค้นหาตัวเอง ได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ แบบที่โรงเรียนอาจไม่มีโอกาสให้ได้”
เปลี่ยนพื้นที่รอบตัวให้กลายเป็นห้องเรียน
โครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ ไม่ได้ตั้งต้นจากสิ่งใหญ่โต แต่เริ่มจากการสำรวจว่าในชุมชนมีอะไรบ้างที่สามารถต่อยอดเป็นพื้นที่เรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ พื้นที่เกษตร พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น หรือศูนย์การเรียนรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงปรับมุมมองและออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับเด็ก
ครูแอ๋มยกตัวอย่างว่า มีบางพื้นที่ที่ไม่เคยทำกิจกรรมสำหรับเด็กมาก่อน เช่น ร้านกาแฟ เธอจึงเข้าไปชวนเจ้าของร้านออกแบบโปรแกรม เช่น สอนการชงกาแฟอย่างง่าย มีการตั้งคำถาม มีของรางวัล และให้เด็กได้ลงมือทำจริง ขณะที่บางพื้นที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอยู่แล้ว ก็จัดกิจกรรมเดินป่า ดูนก ดูแมลง หรือทำ Eco-Printing จากพืชท้องถิ่น
ในพิพิธภัณฑ์ที่ดูเหมือนห่างไกลเด็ก ครูแอ๋มและทีมงานก็ร่วมกับภัณฑารักษ์ออกแบบกิจกรรมให้ประวัติศาสตร์มีชีวิต เช่น ทำเกม บอร์ดเกม หรือเวิร์กช็อปศิลปะที่อิงกับเรื่องราวของนิทรรศการ
แนวทางที่เธอใช้คือ ไม่จำเป็นต้องสอนทฤษฎีมากมาย แต่ให้เด็กได้ลงมือทำ 70% ของเวลาเรียนรู้ เพื่อให้ทุกประสาทสัมผัสถูกกระตุ้น และพวกเขาได้เรียนรู้จากของจริง
สิ่งที่เด็ก ครอบครัว และชุมชนได้รับ
จากการดำเนินโครงการมาแล้วกว่า 3 ปี ครูแอ๋มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลายระดับ เด็กๆ กลับมาพร้อมแรงบันดาลใจใหม่ มีสิ่งที่อยากทำ มีเรื่องเล่าให้พ่อแม่ฟัง บางคนค้นพบว่าตัวเองชอบวาดภาพ เล่นดนตรี หรืออยากทำงานด้านสิ่งแวดล้อม
ครอบครัวเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หลายบ้านได้เห็นพัฒนาการของลูก ได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ชุมชนหลายแห่งที่ไม่เคยจัดกิจกรรมให้เด็กมาก่อน ก็เริ่มเปิดพื้นที่มากขึ้น เพราะเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
นอกจากนี้ สสส. ยังสนับสนุนการจัดทำระบบฐานข้อมูลที่สามารถค้นหาแหล่งเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่ได้ผ่านเว็บไซต์ เพื่อให้พ่อแม่หรือหน่วยงานต่างๆ เข้าถึงข้อมูลและขยายผลได้ต่อเนื่อง
เริ่มง่าย ใกล้ตัว ทำได้จริง
ครูแอ๋มให้คำแนะนำว่า การสร้างกิจกรรมสร้างสรรค์ให้เด็ก ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากของยาก เพียงแค่ใช้สิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่ และมองมันด้วยมุมใหม่ เช่น หากมีร้านขนมปัง อาจจัดเวิร์กช็อปสอนเด็กทำขนมง่ายๆ ถ้ามีสวนผัก อาจให้เด็กทดลองปลูกและเรียนรู้การดูแลพืช
เธอแนะนำว่า สิ่งสำคัญคือทำให้กิจกรรมนั้น “สนุก” และ “เด็กลงมือทำได้จริง” ต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ไม่ต้องใช้เงินเยอะ และควรอยู่ในระยะที่เด็กสามารถเดินทางได้ภายใน 15 นาทีจากบ้าน
การเริ่มต้นอาจเป็นการรวมตัวกันของอาสาสมัครในหมู่บ้าน ชวนกันออกแบบกิจกรรมเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายผลไปสู่เทศกาลเรียนรู้ระดับตำบล อำเภอ หรือจังหวัด
ปลูกฝังเสรีภาพอย่างมีขอบเขต: บทเรียนสำคัญสำหรับ Gen Alpha
เมื่อพูดถึงเด็กยุค Gen Alpha ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัล ครูแอ๋มมองว่า พวกเขามีความรู้มากมายจากอินเทอร์เน็ต แต่ขาดประสบการณ์จริง ขาดพื้นที่ให้ลองผิดลองถูก ขาดการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในโลกจริง
เธอจึงย้ำว่า สิ่งที่เด็กยุคนี้ต้องการไม่ใช่แค่ “เสรีภาพ” ในการเลือก แต่ต้องมี “ขอบเขต” ที่ช่วยกำกับให้เขารู้จักตนเอง เคารพผู้อื่น และอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างยั่งยืน
“เด็กยุคนี้ต้องการทั้ง Freedom และ Boundary ไปพร้อมกัน”
กิจกรรมที่เปิดให้เด็กได้เล่น ได้เรียน ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ทำเวิร์กช็อป เล่นดนตรี ทำอาหาร หรือเดินป่า จึงไม่เพียงแต่พัฒนาทักษะเฉพาะตัว แต่ยังเสริมสร้าง Social Skills และ Emotional Skills ที่ห้องเรียนอาจให้ไม่ได้
สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ ใกล้บ้านอย่างยั่งยืน
ครูแอ๋มเน้นว่า การสร้างนิเวศการเรียนรู้ใกล้บ้านไม่ควรเป็นภาระของชุมชนฝ่ายเดียว ภาครัฐควรมีบทบาทสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งด้านงบประมาณ นโยบาย และการเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมร่วมเป็นเจ้าของโปรแกรม
สสส. ถือเป็นต้นแบบของการทำงานร่วมกับภาคีหลากหลายเพื่อยกระดับโอกาสของเด็กทั่วประเทศ แต่หากจะผลักดันให้เกิดระบบนิเวศการเรียนรู้ทั่วประเทศ จำเป็นต้องมีการเชื่อมโยงระหว่างกระทรวงศึกษา กระทรวงการพัฒนาสังคม และหน่วยงานท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุด ครูแอ๋มทิ้งท้ายไว้ว่า
“เราไม่จำเป็นต้องเร่งปุ๋ยให้เด็กโตเร็ว แต่เราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ให้เขาเติบโตอย่างมีแรงบันดาลใจในจังหวะของเขาเอง”
หากเราเชื่อว่าการศึกษาเป็นเรื่องของวุฒิ การเรียนรู้ก็คือเรื่องของชีวิต และชีวิตของเด็กทุกคนควรมีพื้นที่ให้ได้ลอง ลงมือ ล้ม แล้วลุก อย่างอิสระและปลอดภัย
หากท่านสนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ หรือ 𝙃𝙖𝙥𝙥𝙮 𝙎𝙘𝙝𝙤𝙤𝙡 𝘽𝙧𝙚𝙖𝙠 สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://happyschoolbreak.com/