“หยุดยิง”ลวงโลก!! แผนรุก “ซ่อนมีด”ของกัมพูชา
ข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาเพิ่งลงนามไม่ทันข้ามคืน กัมพูชากลับละเมิด! วิเคราะห์เจตนาเบื้องหลัง ฮุน มาเนต หวังอะไรจากการหักหลังครั้งนี้?
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชาได้บรรลุ “ข้อตกลงหยุดยิง” ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ท่ามกลางความคาดหวังว่าความรุนแรงที่ชายแดนจะคลี่คลายลงในที่สุด โดยมีมาเลเซียทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย และร่วมลงนามในสัญญาสันติภาพครั้งนี้
แต่ยังไม่ทันรุ่งสางของวันที่ 29 กรกฎาคม ทั่วแนวชายแดนกลับลุกเป็นไฟอีกครั้ง และครั้งนี้ จุดเริ่มต้นมาจาก “ฝั่งกัมพูชา”
ลำดับการหักหลังที่ชัดเจน
หลังเวลา 00.30 น. วันที่ 29 ก.ค. ทหารกัมพูชาเริ่มเคลื่อนกำลังเข้าสู่แนวรบภูมะเขือ พร้อมยิงปืนใหญ่ใส่พื้นที่ควบคุมของไทยอย่างไม่เกรงกลัวต่อข้อตกลงที่เพิ่งลงนามไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
นี่ไม่ใช่การ “เข้าใจผิด” แต่คือ “การจงใจ”
และคำถามจึงตามมาทันทีว่า…
ทำไมกัมพูชาถึงกล้าหักหลังอย่างโจ่งแจ้งในระดับนานาชาติ?
วิเคราะห์เจตนาร้ายเบื้องหลัง “ข้อตกลงลวง”
1.สร้างภาพ “นักเจรจา” ในเวลากลางวัน – เคลื่อนทัพในเวลากลางคืน การแสดงท่าทีร่วมเจรจาหยุดยิงที่กัวลาลัมเปอร์ของฮุน มาเนต เป็น “เกมสร้างภาพ” ที่แยบยลที่สุด เพื่อสร้างเครดิตทางการทูต และลดแรงกดดันจากประชาคมโลก
แต่เบื้องหลังกลับวางหมากรบแบบจงใจใช้ “ข้อตกลงหยุดยิง” เป็นเกราะบังสายตา ก่อนอาศัยช่วงเวลาคลายการ์ดของไทย ลอบเคลื่อนกำลังและรุกคืบในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอย่าง “ภูมะเขือ”
นี่คือแผนลวงที่คล้ายกับ “ยิงขณะจับมือ” ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่บ่อนทำลายความไว้ใจในเวทีระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
2. หวังพลิกเกมภาคสนาม ด้วยไพ่ทางยุทธวิธี ชัยชนะของไทยที่ “ภูมะเขือ” เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้เปลี่ยนดุลสงครามอย่างมีนัยสำคัญ กัมพูชาตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างชัดเจน
การยอมรับหยุดยิงเท่ากับ “จำนน” ทางยุทธศาสตร์ ดังนั้น สิ่งที่กัมพูชาต้องการคือพลิกกระดาน การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจึงไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่คือความพยายามของกัมพูชาในการใช้การรบลอบเข้าโจมตีช่วงที่ไทยผ่อนคลายที่สุด
3. หวังทดสอบ “ความกล้า” ของไทยในการตอบโต้ ในเชิงจิตวิทยาทางการทหาร การเปิดฉากยิงในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้คือการทดสอบ “ปฏิกิริยา” ของฝั่งตรงข้าม
ฮุน มาเนตอาจคาดว่า ไทยซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองภายใน และกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านอำนาจ จะไม่กล้าสั่งตอบโต้เต็มรูปแบบ
แต่เขาคิดผิด!
กองทัพไทยสั่ง “สวนกลับทันที” และเริ่มปฏิบัติการกดดันแนวรบในพื้นที่ชายแดนเพื่อรักษาอธิปไตยโดยเด็ดขาด
4. เกมยื้อเวลาเพื่อกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาใหม่ในฐานะ “ผู้ได้เปรียบ” ข้อตกลงหยุดยิงของวันที่ 28 ก.ค. ทำให้ไทยถือไพ่เหนือกว่าในเชิงภาพลักษณ์และภาคสนาม
การรุกล้ำของกัมพูชาคือความพยายามเปลี่ยนภาพนั้น ด้วยการ “หยั่งเชิง” ดูว่าหลังการละเมิด ไทยจะ “ทน” เพื่อรักษาภาพสันติภาพหรือไม่
หากไทยเลือก “ยอม” ไม่ตอบโต้ กัมพูชาก็จะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบทันทีในการเจรจารอบถัดไป
ข้อตกลงล้มเหลวในชั่วข้ามคืน
การกระทำของกัมพูชาไม่เพียงทำลายข้อตกลงหยุดยิง แต่ยังเป็นการเผาบันไดทางการทูตของตัวเอง
ในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมงหลังลงนาม
ความน่าเชื่อถือของกัมพูชา “หายวับไป”
ความหวังในสันติภาพแบบยั่งยืน “พังครืน”
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา กลับเข้าสู่โหมด “สงครามจำกัด” อย่างเลี่ยงไม่ได้
สรุป “หยุดยิงหรือกับดัก?”
กัมพูชาไม่เคยต้องการสันติภาพ เพียงแค่ต้องการโอกาสในการฟื้นสถานการณ์
และข้อตกลงหยุดยิงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์คือ “กับดักการทูต” ที่หวังใช้ลวงโลก ลวงไทย และลวงเวลา
แต่เมื่อแผนถูกเปิดโปง ไทยตอบโต้ทัน และทั่วโลกได้เห็น “ความจริง” ของผู้ที่ไม่เคารพคำพูดและลายเซ็นของตนเอง
คำถามคือไทยควรยึดแนวรบ หรือกลับคืนสู่โต๊ะเจรจา?
#หยุดยิงลวงโลก #กัมพูชาละเมิดข้อตกลง #ฮุนมาเนตรุกซ่อนมีด #สงครามชายแดน2568 #BreakingNews #ภูมะเขือ #วิเคราะห์การเมือง #ไทยกัมพูชา#กัมพูชายิงก่อน