ไว้ใจไม่ได้ทั้ง "ภูมิธรรม -ฮุนเซน" รัฐบาลอ่อนปวกเปียก เขมรจึงกล้าละเมิดหยุดยิง !?

ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ ไว้ใจไม่ได้ทั้ง "ภูมิธรรม -ฮุนเซน" รัฐบาลอ่อนปวกเปียก เขมรจึงกล้าละเมิดหยุดยิง !?

สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียดและไม่น่าไว้วางใจ เมื่อข้อตกลง "หยุดยิง" ที่เขมรทำได้แค่เป็นเพียงลมปาก เพราะหลังจากเส้นตายเที่ยงคืนของ วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงจะยุติการปะทะ ปรากฏว่า ทหารกัมพูชา ยังคงละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการยิงอาวุธเข้ามาในฝั่งไทยกระทั่งเช้า ทำให้ทหารไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน

การกระทำดังกล่าวของกัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำหนดการประชุมของคณะทำงานสองฝ่ายระดับทหาร ที่เดิมมีกำหนดพบปะหารือกันใน เวลา 07.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค.68 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่ ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ทำให้การประชุมต้องเลื่อนเวลาออกไปถึง 10.30 น. กว่าจะเริ่มต้นได้

โดยฝ่ายไทย “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นำคณะเข้าพบปะหารือ กับ รอง ผบ.ทบ. กัมพูชา และ ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 4 ที่ช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์

“พล.ต.วินธัย สุวารี” โฆษกกองทัพบก ระบุว่า ผลการหารือที่ช่องจอม มีข้อตกลง 7 ข้อ คือ หยุดยิง ห้ามยิงต่อประชาชน หยุดเพิ่มเติมกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง และอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน อย่างไรก็ตาม ต้องรอหารืออีกครั้งตามผลการประชุม GBC หรือ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ที่ฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ

เห็นกันชัดๆ ว่า งานนี้ฝ่ายเขมรนั้น ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะเจรจาหยุดยิงกันแล้ว แต่หลังเที่ยงคืนก็ยังระดมยิงเข้ามาฝั่งไทย แต่ “พลโทหญิง มาลี โฆษกกัมพูชา” ขาประจำนำความเท็จก็ออกแถลงปฏิเสธคำกล่าวของกองทัพไทย ที่ว่ากองทัพกัมพูชา ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง 2 ประเทศ ด้วยการยิงปืนอย่างต่อเนื่อง หลังเส้นตายเที่ยงคืน โดยยืนยันว่า กองทัพกัมพูชา ได้ปฏิบัติตามคำสั่งและข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่เที่ยงคืนของ วันที่ 28 ก.ค. และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการสู้รบด้วยอาวุธเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ส่วนฝ่ายไทย “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่า ตกเป็นเบี้ยล่าง หรือบางคนว่าถึงขั้น “ล้มเหลว” ในการเป็นผู้นำฝ่ายไทยในการเจรจาครั้งนี้ ที่ไปรับเงื่อนไขของ “ฮุน มาเนต” เหมือนเป็นฝ่ายยอมจำนน

เมื่อถูกสื่อซักถามถึงเรื่องการโยนภาระไปให้ฝ่ายทหารที่หน้างานรับผิดชอบ เรื่องทำไมไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาถอนทหาร ถอนอาวุธ เรียกร้องให้ชดใช้ความเสียหาย ในฐานะอาชญากรสงคราม “ทั่นอ้วน” ก็เลยใช้การแสดงกิริยาทางทางไม่พอใจ และไม่ตอบคำถาม โดยเพาะในประเด็นที่ว่า ใช้โอกาสนี้ นำเรื่องภาษีสหรัฐ มากดดัน มามัดคอฝ่ายทหารหรือเปล่า

ขณะที่ “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.การต่างประเทศ ต้องมาลดอุณหภูมิความตึงเครียด ว่า ได้ติดต่อ และส่งหนังสือประท้วง พร้อมหลักฐานการถูกโจมตีจากฝ่ายกัมพูชา หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลใช้บังคับ ไปยัง รมว.การต่างประเทศของมาเลเซีย ในฐานะประเทศเจ้าภาพอาเซียน รวมทั้งยังได้ทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยัง ประธานอาเซียน ในฐานะที่เป็นผู้จัด และพยานการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ได้รับทราบ พร้อมยังขอให้ส่งหนังสือประท้วงถึง รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในฐานะประเทศที่เข้าร่วมรับฟังการเจรจา ให้ได้รับทราบ ถึงการละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงของกัมพูชา

ด้านฝ่าย “ฮุน เซน” ที่เปิดหน้ายอมรับว่าเป็นผู้บัญชาการรบ สั่งโจมตีไทย โดยไม่สนใจว่าจะเป็นพื้นที่ทหาร หรือบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล หลังรู้ผลการเจรจาที่ฝ่ายไทยยอมตกลงหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข ก็รีบโพสต์ของคุณสหรัฐฯ ขอบคุณจีน ทันที

โดยระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้ มาจากความคิดริเริ่มอันโดดเด่น มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ของท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้เกิดสันติภาพ ได้ช่วยชีวิตผู้คนนับหมื่น จากสงครามกัมพูชา-ไทย

“ฮุนเซน” ยังแสดงความขอบคุณ ต่อมิตรสหายชาวจีน ที่ให้การสนับสนุนการเจรจา รวมถึงประเทศมิตรทุกประเทศที่ได้ให้การรับรอง ข้อตกลงหยุดยิงนี้ ในครั้งนี้

ส่วน “ฮุน มาเนต” บอกว่า รบ 5 วัน ทำเอาแก่ไป 5 ปี ผมหงอกขึ้นเยอะ แต่ไม่เป็นไร รอให้แก้ไขปัญหาทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน ให้กองทัพและประชาชน ได้กลับมามีความสุข ให้ประเทศกลับมาสู่สันติภาพก่อน แล้วค่อยย้อมผมทีหลังก็ได้

แน่นอนว่า เรื่องนี้คงยังไม่จบง่ายๆ เมื่อ “มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตั้งคำถาม ถึงท่าที และผลงานของรัฐบาล ภายหลังการเจรจาครั้งนี้ ที่ “ภูมิธรรม” เป็นหัวหน้าคณะ รีบแถลงข่าวว่า "บรรลุข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข" แต่เมื่อถึงเส้นตายเที่ยงคืน วันที่ 28 ก.ค.68 "ความจริงกลับตรงกันข้าม" เพราะกัมพูชา ยังคงยิงข้ามฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการ "ล่วงล้ำอธิปไตย" มุ่งหวังเข้ายึดพื้นที่ของไทย ทำให้ทหารไทยต้องตอบโต้ และยังคงมีการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหารที่ชายแดนเพิ่มเติมไปอีก 3 นาย

ขณะเดียวกัน ได้ตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่า ข้อตกลงที่ถูกละเมิดภายในไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้ สมควรหรือไม่ที่จะเรียกว่า “ความสำเร็จ?” การเจรจาที่ไม่มีหลักประกันใดๆ ไม่เพียงแต่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างภาพลวงตา ให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า ความรุนแรงยุติแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง เสียงปืนยังดังอยู่ที่แนวชายแดน และความสูญเสียยังไม่สิ้นสุด

นอกจากนี้ "ภาษากาย" ของผู้นำคณะเจรจาฝ่ายไทยอย่าง “ภูมิธรรม” ในการแถลงข่าวหลังการประชุม ที่สะท้อนชัดถึงความตกเป็นรอง ทั้งในด้านภาพลักษณ์และจิตวิทยาการเจรจาระหว่างประเทศ ไม่ชี้แจงให้สังคมโลกเห็นว่า กัมพูชากำลังรุกรานอธิปไตยของไทย และมีเจตนาทำร้ายประชาชนอย่างไม่ปรานี ต่างจาก “ฮุน มาเนต” แสดงออกอย่างมั่นใจเหมือนเป็นผู้บรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์บนโต๊ะเจรจา

แล้วอย่างนี้จะให้ประชาชนไว้วางใจรัฐบาลที่อ่อนเชิงการเมืองระหว่างประเทศ อ่อนข้อในการเจรจา ไม่เข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตย และไม่สามารถยืนหยัดเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชน ต่อไปอีกหรือ

ส่วนในที่ประชุมวุฒิสภา “พล.ท.สุกิจ ทั่งทอง” สมาชิกวุฒิสภา ได้หารือถึงเรื่องนี้ พร้อมให้ข้อเสนอแนะว่า ในสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายังไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ ไทยควรประกาศกฎอัยการศึก พื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ตั้งแต่ จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด มอบอำนาจเต็มแก่ทหาร ภายใต้หลักการ CI 31 เพื่อปกป้องอธิปไตยชาติอย่างมีเอกภาพ รวมทั้งต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม เอ็มโอยู 2544 เอ็มโอยู 2543 และ เจซี 44 ที่ไทยเสียเปรียบ ให้มีความชัดเจนกว่านี้

นอกจากนี้ ต้องปิดด่านทางบกทุกช่อง ปิดน่านน้ำ น่านฟ้า ตัดระบบสาธารณูปโภคทุกชนิด ที่เชื่อมกับกัมพูชา ทั้งไฟฟ้า น้ำ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ ยกเลิกส่งออกพลังงาน น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ ไปกัมพูชาโดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือว่าผิดกฎอัยการศึก ต้องขึ้นศาลทันที ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต กับกัมพูชา จนกว่าการปักปันเขตแดน กั้นรั้วชายแดนจะแล้วเสร็จ

นั่นเป็นความเห็นส่วนหนึ่งต่อการเจรจาครั้งนี้ และสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการในลำดับต่อไป รวมทั้งเมีเสีย

เรียกร้องให้รัฐบาล หยุดปิดบังข้อมูลข้อเท็จจริง แล้วนำรายละเอียดในการเจรจาทั้งหมด มาตีแผ่ต่อประชาชน ว่าที่เจรจาไปนั้น เป็นผลดีอย่างไร จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยในอนาคตอย่างไร

ไม่ใช่การเจรจาเพื่อนั่งทับปัญหา ปล่อยให้ทหาร และประชาชนตามแนวชายแดนต้องอยู่กับความเสี่ยงต่อไป

ดูท่าเรื่องราวชายแดนครั้งนี้ จะไม่ได้จบด้วยความพอใจของคนไทย เพราะ “ภูมิธรรม” ซึ่งข้างหลังก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร” รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งไม่น่าไว้วางใจพอๆ กับสองพ่อลูก “ ฮุน เซน - ฮุน มาเนต ”!!

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO