TU ดัน Blue Finance หนุนโครงการ “กุ้งคาร์บอนต่ำ” ลดต้นทุนกู้เงิน มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU หนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า บริษัทเร่งขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผ่านโครงการ Shrimp Decarbonization Project หรือ โครงการกุ้งคาร์บอนต่ำ โดยผสานความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง นำกลไกทางการเงินเพื่อความยั่งยืนหรือ Blue Finance มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยี และเงินทุน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง และเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593
โดยบนเวทีเสวนา UN Global Compact Thailand Expo 2025 ภายใต้หัวข้อ “Blue Financing and Aquaculture: Empowering the Sustainability Transition” ผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางในการสร้างอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน ทั้งด้านนวัตกรรม การลงทุน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดย TU ย้ำเป้าหมายการจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนให้ได้อย่างน้อย 75% ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568
สำหรับ Blue Finance เป็นกลไกทางการเงินที่ช่วยปลดล็อกทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หน่วยงานรัฐ หรือภาคธุรกิจ ทำให้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน และยังสนับสนุนเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง
อีกทั้งโครงการนำร่องกุ้งคาร์บอนต่ำของไทยยูเนี่ยนเริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว โดยกุ้งจากฟาร์มที่เข้าร่วมสามารถวางจำหน่ายในสหรัฐฯ ภายใต้แบรนด์ Chicken of the Sea ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรเช่น The Nature Conservancy (TNC), Ahold Delhaize USA และ Whole Foods Market จุดเด่นคือสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดต่างประเทศ
นายยงยุทธ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายภายในปี 2573 กุ้งทุกตัวที่จัดซื้อหรือจัดหาจะต้องอยู่ในระบบนิเวศคาร์บอนต่ำ และต้องมีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจาก GSSI (Global Seafood Sustainability Initiative) หากยังไม่ได้รับมาตรฐานกุ้งเหล่านั้นต้องอยู่ในโครงการพัฒนาหรือการรับรองคุณภาพ เพื่อสร้างระบบนิเวศการผลิตกุ้งที่ยั่งยืนและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
นอกจากนี้บริษัทยังมีเป้าหมายจัดหาเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนให้ได้ 75% ของการจัดหาเงินทุนระยะยาวภายในปี 2568 (2025) โดยใช้กลไก Blue Finance เป็นเครื่องมือสำคัญ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าการเงินทั่วไปและสามารถปลดล็อกทรัพยากรให้กับทุกภาคส่วน โดยในครึ่งปีหลัง หรือภายในไตรมาส 4/2568 บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาทั้งในรูปแบบเงินกู้ (Loan)และ หุ้นกู้ (Bond) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดหาเงินทุนและต่อยอดสัดส่วน Blue Finance ให้สูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะได้ต้นทุนดอกเบี้ยถูกลง 0.10-0.15% จากอัตราดอกเบี้ยปกติ 2.5% เพื่อรีไฟแนนซ์วงเงินกู้ระยะยาว 45,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทงมีเป้าหมายเปลี่ยนวงเงินกู้เป็น Blue Finance ในสัดส่วน 75% ภายในสิ้นปี 2568 แต่ปัจจุบันทำได้เกินเป้าหมายแล้วที่ 78%
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโครงสร้างหนี้เป็นเงินกู้ระยะยาว 75% และเงินกู้ระยะสั้น 25% โดยตั้งใจรักษาสัดส่วนนี้เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหารกระแสเงินสดและรองรับการชำระคืนหนี้ในอนาคต การลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจาก Blue Finance จึงไม่เพียงสร้างประโยชน์เชิงการเงิน แต่ยังสอดรับกับเป้าหมายโดยรวมด้านความยั่งยืนของบริษัทอีกด้วย
ส่วนประเด็นภาษี "ทรัมป์" มองว่าหากอัตราภาษีอยู่ในช่วง 15-20% หากพอๆกับคู่แข่งก็สบายใจได้ แต่หากนอกเหนือจากนี้ก็ต้องหาทางบรรเทา และต้องรอติดตามทิศทางและรายละเอียดทั้งหมดได้ ซึ่งจะมีการประกาศในผลประกอบการไตรมาส 2/68 ในวันที่ 5 ส.ค.68
ด้านนางสาวฝนทิพย์ ยุทธเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กล่าวว่า Blue Finance สามารถพลิกโฉมแนวทางการดำเนินงานของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่พึ่งพิงทรัพยากรทางทะเล โดยช่วยให้เกษตรกรและภาคธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพได้มากขึ้น
นอกจากการลดคาร์บอนแล้ว โครงการยังเพิ่มศักยภาพการผลิตของฟาร์มกุ้งที่เข้าร่วมผ่านมาตรการและเทคโนโลยีที่อิงวิทยาศาสตร์ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน (ติดตั้งโซลาร์เซลล์), การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหารกุ้งที่ผลิตอย่างยั่งยืน และการจัดการคุณภาพน้ำในบ่อที่ได้มาตรฐาน
ส่วนนางสาวมนทกานติ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง กล่าวว่า “ประเทศไทยมีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน โดยโครงการที่สอดรับกับนโยบายระดับชาติ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในฟาร์มเกษตร ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งในแง่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ”
ด้านนายพลชาติ เหลืองนฤมิตชัย เจ้าของฟาร์มกุ้งอนันต์ฟาร์ม ตัวแทนเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า หลังเข้าร่วมโครงการ เราได้รับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ลดต้นทุนได้จริง เช่น การใช้โซลาร์เซลล์ช่วยลดค่าไฟได้มาก การใช้อาหารกุ้งที่ยั่งยืนทำให้ใช้อาหารน้อยลงและคุณภาพน้ำดีขึ้น ส่งผลให้กุ้งของเรามีโอกาสเข้าสู่ตลาดที่เน้นความยั่งยืน ซึ่งเดิมเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงได้