มีกาแฟไหม? เว็บระดับโลกเผย 2 เครื่องดื่ม "พังตับ" มากที่สุด ไทยขายเกลื่อน ดื่มกันทุกวัน!!!
เว็บไซต์โภชนาการอันดับ 1 ของโลก จัดอันดับเครื่องดื่ม 2 ชนิด ว่าเป็นอันตรายต่อตับมากที่สุด แต่คนจำนวนมากยังคงดื่มโดยไม่ลังเล
ตับเปรียบเสมือน “เครื่องฟอกเลือด” ของร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญนับพันล้านอย่างตลอดชีวิต และหนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการกรองสารพิษออกจากเลือด แต่หากตับทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ร่างกายจะเต็มไปด้วยสารพิษ
อย่างที่หลายคนพอทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทุกสิ่งที่คุณรับผ่านระบบย่อยอาหารจะถูกประมวลผลและกรองโดยตับ เลือดเกือบทุกมิลลิลิตรในร่างกายจะผ่านตับ ตับจะสลายและกำจัดสารเคมี สารอาหาร ยา แอลกอฮอล์ และสารพิษอื่นๆ ออกจากเลือดก่อนที่จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
แล้วรู้หรือไม่ว่า…. บางสิ่งที่ดื่มเข้าไปในร่างกายนั้น อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพตับ โดยจากตามข้อมูลของเว็บไซต์โภชนาการอเมริกัน Eat This, Not That! ได้เปิดเผยถึง 2 เครื่องดื่มที่เป็นอันตรายต่อตับมากที่สุด และสาเหตุที่พวกมันอาจทำลายอวัยวะสำคัญของเรา
(Eat This, Not That! คือเว็บไซต์ด้านโภชนาการที่บริหารงานโดยทีมนักข่าว แพทย์ นักโภชนาการ เชฟ และเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ทำงานร่วมกันเพื่อนำเสนอเนื้อหาที่ถูกต้อง ทันท่วงที ให้ข้อมูล และเป็นประโยชน์เกี่ยวกับอาหาร โภชนาการ การควบคุมอาหาร การลดน้ำหนัก สุขภาพ การออกกำลังกาย และอื่นๆ อีกมากมาย ในฐานะแบรนด์สุขภาพและการออกกำลังกายชั้นนำ คือเว็บไซต์ด้านโภชนาการอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน)
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลย คนส่วนใหญ่รู้ดีว่าการดื่มหนักอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์ ซึ่งเนื้อเยื่อตับที่แข็งแรงจะถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อแผลเป็น และในที่สุดอาจนำไปสู่การเสียชีวิต หรือความจำเป็นในการปลูกถ่ายตับเพื่อความอยู่รอด แต่ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน…
ข้อมูลจาก Johns Hopkins Medicine ระบุว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มีภาวะตับเสียหายหลายระยะ ระยะหลักๆ คือการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับ ที่เรียกว่า “ไขมันพอกตับ” ต่อมาการอักเสบเฉียบพลัน ที่เรียกว่า“ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์” ซึ่งนำไปสู่การตายของเซลล์ตับและการเกิดแผลเป็น และ “ตับแข็ง” เป็นระยะสุดท้ายที่อันตรายอย่างยิ่งของโรคไขมันพอกตับ เมื่อถึงจุดนั้น ตับจะมีแผลเป็นมากจนทำหน้าที่เหมือนหลอดสุญญากาศที่อุดตัน เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้
“ใครก็ตามที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะแค่คืนเดียว ก็มักจะมีภาวะไขมันพอกตับในระดับหนึ่ง ซึ่งหยดไขมันในตับจะไปขัดขวางการทำงานของตับ” Dr. Rockford Yapp แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารที่โรงพยาบาล Advocate Good Samaritan ในสหรัฐอเมริกา กล่าว
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) กำหนดนิยามการดื่มหนักว่าหมายถึงการดื่ม 15 แก้วหรือมากกว่าต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชาย และ 8 แก้วหรือมากกว่าต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิง โดยหนึ่งแก้วหมายถึงเบียร์ 12 ออนซ์ ไวน์ 5 ออนซ์ หรือสุราแรง 1 ช็อต 1.5 ออนซ์
ข่าวดีก็คือ ภาวะไขมันพอกตับสามารถรักษาให้หายได้ หากคุณหยุดดื่ม ไขมันในตับจะค่อยๆ หายไป อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์ไม่ใช่เครื่องดื่มชนิดเดียวที่เป็นอันตรายต่อตับของคุณ ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ อีกมากมายที่อาจทำให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
เครื่องดื่มอัดลมและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลอื่นๆ
หากใส่ใจสุขภาพ คงทราบดีว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วน แต่รู้หรือไม่ว่า น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาล ก็สามารถเพิ่มปริมาณไขมันสะสมในตับได้เช่นกัน
น้ำตาลและน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มากเกินไปจากเครื่องดื่มรสหวานเหล่านี้ จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันโดยตับของคุณ ไขมันส่วนเกินเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่าโรคไขมันพอกตับชนิดไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งตามรายงานของวารสาร Journal of Hepatology วารสารการแพทย์นานาชาติเรียก NAFLD ว่าเป็น"ปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก"
“ในบรรดาอาหารที่มีน้ำตาลทั้งหมด การดื่มเครื่องดื่มอัดลมที่มีน้ำตาลถือเป็นอันตรายต่อตับมากที่สุด” ดร. วาคัส มาห์มูด แพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกา กล่าว“การบริโภคเครื่องดื่มอัดลมเป็นประจำยังเชื่อมโยงอย่างมากกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเกาต์ โรคสมองเสื่อม ปัญหาทางทันตกรรม โรคเบาหวาน และแม้แต่โรคมะเร็ง จากการศึกษาหลายชิ้น”
ในความเป็นจริง โรคอ้วน และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถือเป็นสาเหตุทั่วไปของโรคไขมันพอกตับ ตามข้อมูลของสถาบันโรคทางเดินอาหารแห่งสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่าผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนสองในสาม และเด็กที่เป็นโรคอ้วนครึ่งหนึ่งมีภาวะไขมันพอกตับ
แล้วกาแฟละคะ?
ผลกระทบของกาแฟต่อตับขึ้นอยู่กับวิธีดื่ม กาแฟธรรมดาอาจมีประโยชน์ต่อตับ กาแฟธรรมดาอุดมไปด้วยคาเทชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในชาเขียว และโพลีฟีนอลที่มีประโยชน์อื่นๆ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่ากาแฟอาจช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด รวมถึงมะเร็งตับ
ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์อภิมานในวารสาร Gastroenterology พบว่าการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นวันละสองแก้วสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งตับที่ลดลง 43% แต่ถ้าคุณดื่มกาแฟหวานจัด ก็อาจเป็นอันตรายได้พอๆ กับโซดา นอกจากนี้ เครื่องดื่มบางชนิดที่เรียกว่า "เครื่องดื่มรสกาแฟ" ก็มีลักษณะเหมือนน้ำอัดลมมากกว่า โดยมีปริมาณกาแฟเพียงเล็กน้อย ตามที่ทริสตา เบสต์ นักโภชนาการชาวอเมริกัน กล่าวไว้ ดังนั้นคุณจะปกป้องตับของคุณได้ด้วยการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและลดอาหารแปรรูปที่อาจทำให้เกิดโรคอ้วน
ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญล้วนแนะนำว่าพวกเรา ปล่อยให้ตับทำหน้าที่กำจัดสารพิษ และอย่า "ลงโทษ" อวัยวะนี้ด้วยการบริโภคของเหลวที่เป็นพิษ เช่น แอลกอฮอล์ และโซดาเป็นประจำ