เมื่อ ‘เพื่อนบ้าน’ ย้ายหนีกันไม่ได้ สำรวจแนวทางจากประเทศต่างๆ ที่เคยพิพาทกันเรื่องเขตแดน
“ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา?” คือหนึ่งในคำถามสำคัญที่กำลังก่อตัวในสังคมขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ สถานการณ์บริเวณชายแดนได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้มีคนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต
The MATTER จึงขอชวนทุกคนย้อนไปดูถึงตัวอย่างแนวทางคลี่คลายความขัดแย้ง จากกรณีข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกัน
ข้อพิพาทช่องแคบบีเกิลระหว่างอาร์เจนตินา-ชิลี ปี 1984 ที่เกือบทำให้สองประเทศเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ แต่จบลงด้วยสมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
หลังจากได้รับเอกราชจากสเปนในศตวรรษที่ 19 ปัญหาเขตแดนทั้งทางบกและทะเล ก็เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ หนึ่งในนั้นคือ ‘ข้อพิพาทช่องแคบบีเกิล’ (Beagle Channel Dispute) ที่รัฐบาลอาร์เจนตินากับชิลีต่างเห็นไม่ตรงกัน เรื่องการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือ หมู่เกาะ Picton, Lennox และ Nueva ตามแนวช่องแคบบีเกิล
แม้จะมีความพยายามใช้กลไกศาลระหว่างประเทศ แต่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศก็ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยทวีความรุนแรงขึ้นจนเกือบเข้าสู่สงครามในวันคริสต์มาสอีฟของปี 1978 ซึ่งขณะนั้นอาร์เจนตินาและชิลีต่างอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบเผด็จการทหาร
ด้วยเหตุนี้ วาติกันจึงริเริ่มส่งผู้แทนคนกลาง ไปไกล่เกลี่ยวิกฤตการณ์และเจรจาทางการทูต จนนำไปสู่การลงนามสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพ (Treaty of Peace and Friendship) ณ นครรัฐวาติกัน ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1984 เพื่อยุติข้อพิพาทพรมแดนอันยาวนานเหนือช่องแคบบีเกิล โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 (Pope John Paul II) ทรงเป็นหนึ่งในผู้ไกล่เกลี่ย กลายเป็นหนึ่งตัวอย่างของการทูตโดยพระสันตะปาปา (Papal Diplomacy) ในหน้าประวัติศาสตร์โลก
ข้อพิพาทพรมแดนระหว่างเอกวาดอร์-เปรู ปี 1998
เป็นเวลากว่า 60 ปี ที่เอกวาดอร์และเปรูมีข้อพิพาทเรื่องดินแดน โดยเฉพาะกรณีการอ้างสิทธิ์เหนือแนวเทือกเขาคอนดอร์ (Condor) ที่ทอดยาวกว่า 80 กิโลเมตรในเขตป่าแอมะซอน จนในปี 1995 เกิดการชุมนุมประท้วงขึ้นในเมืองต่างๆ ในเปรู อีกทั้งยังมีรายงานทหารกว่า 80 นายเสียชีวิตจากปะทะกันตามแนวชายแดน
หลังจากที่ข้อพิพาทพรมแดนระหว่างสองประเทศยืดเยื้อมากว่าหกศตวรรษ วันที่ 26 ตุลาคม 1998 ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล ประธานาธิบดีเอกวาดอร์และเปรู ได้ลงนามใน Brasilia Presidential Act หรือข้อตกลงสันติภาพอย่างเป็นทางการ ซึ่งกำหนดเขตแดนตามแนวเทือกเขาคอนดอร์
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจาจากหลายฝ่าย ทั้งอาร์เจนตินา บราซิล ชิลี และสหรัฐอเมริกา โดยการลงนามครั้งนี้ คาดว่าจะปูทางไปสู่การลงทุนมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในด้านน้ำมัน พลังงาน ถนน และโครงการพื้นฐานอื่นๆ ในพื้นที่ชายแดนที่ยากจน ซึ่งธนาคารพัฒนาระหว่างอเมริกา (Inter-American Development Bank หรือ IDB) ได้ให้คำมั่นที่จะให้เงินกู้แก่เปรูและเอกวาดอร์ จำนวน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการข้ามพรมแดนหลังจากข้อตกลงนี้เกิดขึ้น
ด้านบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น เรียกการลงนามครั้งนี้ว่า “จุดสิ้นสุดของความขัดแย้งทางทหารระหว่างประเทศครั้งสุดท้ายและยาวนานที่สุดในซีกโลกตะวันตก”
ข้อพิพาททะเลจีนใต้ระหว่างฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย ปี 2014
ก่อนหน้านี้ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมีปัญหาเรื่องเขตแดนทางทะเล ซึ่งการเจรจาระหว่างทั้งสองยืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี และเกิดความตึงเครียดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2014 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสองประเทศ ได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดนเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone หรือ EEZ) บริเวณทะเลมินดาเนาและทะเลเซเลเบส
ตามหลักการของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (1982 United Nations Convention on the Law of the Sea หรือ UNCLOS) รัฐชายฝั่งของเขต EEZ จะมีสิทธิอธิปไตย (sovereign rights) ซึ่งเป็นสิทธิที่จำกัดกว่าอำนาจอธิปไตย (sovereignty) แต่ครอบคลุมการสำรวจ การแสวงประโยชน์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการสร้างเกาะเทียม สิ่งก่อสร้าง และสิ่งติดตั้งในทะเล เป็นต้น
ด้านซูซิโล บัมบัง ยุโดโยโน (Susilo Bambang Yudhoyono) ประธานาธิบดีอินโดนีเซียในขณะนั้น กล่าวว่านี่เป็น ‘ตัวอย่างที่ดี’ ของการแก้ไขปัญหาอธิปไตยโดยปราศจากการใช้กำลัง
นี่เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลฉบับแรกของฟิลิปปินส์ โดยกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์กล่าวว่าข้อตกลงนี้ “เป็นผลมาจากการเจรจากว่า 20 ปี เพื่อกำหนดเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่ทับซ้อนกันของทั้งสองประเทศ”
ข้อพิพาทพรมแดนระหว่างคีร์กีซสถาน-ทาจิกิสถาน ปี 2025
หลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงในปี 1991 และสหภาพโซเวียตล่มสลาย เกิดความขัดแย้งด้านอาณาเขตระหว่างหลายประเทศ หนึ่งในนั้นคือ คีร์กีซสถานและทาจิกิสถาน ซึ่งมีข้อพิพาทการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนเหนือพรมแดนระยะทางราว 1,000 กิโลเมตร อันเกิดจากความแตกแยกของการปกครองที่ซับซ้อนในยุคโซเวียต ซึ่งมองข้ามเชื้อชาติ ภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรมของประชาชน
ในปี 2014, 2021 และ 2022 เกิดเหตุปะทะกันหลายครั้งระหว่างทั้งสองฝ่าย และสถานการณ์ก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ความขัดแย้งนานหกวันในเดือนกันยายน 2022 ซึ่งในปีนั้นมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน และชาวคีร์กีซกว่า 100,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ถือเป็นความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง
โศกนาฏกรรมครั้งนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทั้งสองประเทศ ให้ความสำคัญกับการเจรจาครั้งใหม่ โดยมีความพยายามเจรจากันอีกครั้งในช่วงปลายปี 2022 และดำเนินเรื่อยมาในปี 2023 และ 2024 จนกระทั่งบรรลุข้อตกลงในปี 2025
วันที่ 13 มีนาคม 2025 ณ กรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถาน ประธานาธิบดีคีร์กีซสถานและทาจิกิสถาน ได้ลงนามข้อตกลงกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนทั้งหมด 972 กิโลเมตร เพื่อยุติความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อมายาวนาน พร้อมทั้งกำหนดให้มีการเปิดเส้นทางคมนาคมทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศระหว่างสองประเทศอีกครั้ง ซึ่งเดิมทีถูกระงับไว้ตั้งแต่การสู้รบในเดือนกันยายน 2022
อ้างอิงจาก