เงินเดือน 7,850 บาท ไร้สวัสดิการ ไร้ตัวตน: ว่าด้วยปัญหาแรงงานชายขอบ ในระบบสาธารณสุขที่แทบไม่มีใครเห็น
“ค่าครองชีพเฉลี่ยของคนไทยปีนี้ อยู่ที่ 18,000 บาทต่อเดือน ค่าแรงขั้นต่ำ กำลังจะขึ้นเป็น 400 บาทต่อวัน หรือคิดเป็น 12,000 บาทต่อเดือน คุณคิดว่ากระทรวงสาธารณสุขจ้างคนทำงานเพื่อสุขภาพต่ำสุดกี่บาท?”
ข้างต้นเป็นคำกล่าวของ พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร แพทย์อายุรกรรม และสมาชิกจากกลุ่มสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติ ที่พูดถึงค่าตอบแทนที่คนทำงานเพื่อสุขภาพได้รับในแต่ละเดือน
“7,850 บาทต่อเดือน คือตัวเลขการจ้างงานพนักงานกระทรวง ทำงานหลากหลายงาน พนักงานห้องผ้า พนักงานห้องยา พนักงานขับรถ พนักงานเวรเปล เป็นสัญญาจ้างเหมาสามปี ขณะที่ 5,000 บาทต่อเดือน คือ ค่าจ้างผู้ดูแลติดบ้านติดเตียง (สปสช.กำลังจะประกาศ) และ 2,000 บาทต่อเดือน คือ 'ค่าป่วยการ' ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตำแหน่งที่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนในวงการแพทย์ว่า จะ 'ไปต่อ-พอแค่นี้' สำหรับภาระงานที่หนักขึ้น มีตัวชี้วัด มี application ที่ต้องใช้เพื่อคีย์ข้อมูล มีการอบรม แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่สามารถกำหนดมาตรฐานได้ เพราะ 'ไม่ใช่งาน' แต่เป็น 'อาสาสมัคร'”
เธอระบุเหตุผลว่า เพราะ พรบ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 4 กำหนดชัดเจนว่า ‘ไม่คุ้มครองแรงงานภาครัฐ’ และกระทรวงเองไม่มีมาตรฐานการดูแลแรงงานขั้นต่ำของกระทรวง ทั้งที่ประเทศไทยกำลังเข้าเจรจา FTA ร่วมกับ EU ที่จะเป็นคุณและโทษกับประเทศในอีกไม่นานนี้ หนึ่งในข้อตกลงคือการให้มาตรฐานชีวิตแรงงานดีขึ้นและมีอำนาจในการต่อรอง การรับสัตยาบัน ILO 87/98 ที่รองรับการรวมตัวกันของแรงงาน ยังเป็นสิ่งที่เรารอคอยให้เกิดขึ้น
‘คนทำงานเพื่อสุขภาพ’ เผชิญกับภาระงานและค่าตอบแทนที่ไม่สมดุลกัน
พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร
พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร กล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่เธอเริ่มตั้งคำถามกับความไม่สมเหตุสมผลของภาระงานและค่าตอบแทนของคนทำงานเพื่อสุขภาพว่า เธอเป็นแพทย์ในช่วงที่ COVID-19 กำลังแพร่ระบาด ระหว่างที่ทำงานอย่างหนักในตอนนั้น เธอเกิดความรู้สึกว่าโรงพยาบาลจะไม่สามารถทำงานได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกัน
“เรารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เพราะทุกคนต่างเผชิญกับความเสี่ยงเท่ากัน แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับคำชื่นชมยินดีหรือค่าตอบแทนและค่าความเสี่ยงกับความตายเท่ากัน เช่น เวรเปลเป็นคนแรกที่เจอกับคนไข้ แต่เขากลับถูกกีดกัน”
เธอกล่าวต่อ รวมถึงพยาบาล แม่บ้าน ผู้ช่วยต่างๆ ก็ต่างได้รับความเสี่ยงเหมือนกันหมด แต่พวกเขาเหมือนเป็นแรงงานผี ไม่มีตัวตนเลยในสายตา ไม่ว่าจะทั้งในและนอกโรงพยาบาล
“เราจึงมองว่าหมอเป็นอาชีพที่มีอภิสิทธิ์ชนมาก อภิสิทธิ์ชนที่ไม่ใช่แค่ในโรงพยาบาล แต่ในสายตาของสังคม หมอดูจะเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่องเลย เราก็เลยคิดว่าเราต้องใช้ความเป็นอภิสิทธิ์ตรงนี้ พูดถึงคนที่เขาไม่มีสิทธิ์เท่ากับเรา”
หมอชุตินาถ เสริมเหตุผลว่า แพทย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานรับรู้ถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา อย่างในห้องฉุกเฉิน ทุกครั้งที่มีเคสหนักเข้ามา เจ้าหน้าที่ทุกคนจะเห็นว่าแม่บ้านจะต้องเป็นคนทำความสะอาดรอยเลือด คราบเลือดที่อยู่ตรงพื้น
“เราเห็นเขาคนนี้ทุกวัน แล้วเราก็เห็นเขาอีกครั้งหนึ่งก็คือในห้องพักแคบๆ ที่อยู่ตามทางเดิน ไม่มีที่นั่ง ไม่มีพัดลม”
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอและเพื่อนๆ ช่วยกันก่อตั้งสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติ ในช่วง COVID-19 เพราะเธอและเพื่อนรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำงานหนัก อาทิตย์หนึ่งทำงานเกิน 100 ชั่วโมง แต่คนทำงานไม่รู้สึกถึงความยุติธรรม
“เรามีงานที่มีความรับผิดชอบสูง ก็คือชีวิตคน ยังไงเราก็ไม่ทิ้งงาน แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีภาระอื่นที่ต้องแบกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยในชีวิตของเราเอง ความปลอดภัยของครอบครัว ทว่าความมั่นคงด้านการงาน ด้านความก้าวหน้า ค่าตอบแทน มันดันเหลื่อมล้ำ”
นอกจากนี้ยังมองว่า สำหรับเธอแล้วคนทำงานเพื่อสุขภาพเหมือนไม่มีตัวตน ไม่มีการบันทึกข้อความการทำงานหนักลงไปในเอกสารใดๆ ก็ตามของกระทรวง ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่มีใครอยากแก้ปัญหานี้อย่างแท้จริง
“พอทำงานถึงจุดหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าการพูดถึงเรื่องนี้เพียงเท่านี้เท่านั้น มันอาจไม่ถูกต้อง แล้วอาจแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่แก้ปัญหาทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราทุกคนไม่ได้ไปด้วยกันทั้งหมด”
สถานการณ์โดยรวมของคนทำงานเพื่อสุขภาพกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต
พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร
แพทย์อายุรกรรมคนนี้ กล่าวถึงภาพรวมของคนทำงานเพื่อสุขภาพ โดยเริ่มต้นพูดถึงแรงงานในภาครัฐก่อนว่า มีหลายอย่างที่เธอรับไม่ได้ อย่างแรกคือนายจ้างที่เป็นภาครัฐ ที่จ้างแรงงานเพื่อมาให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักเทคนิคต่างๆ
แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายที่ทำงานสนับสนุนวิชาชีพข้างต้น ได้แก่ ผู้ช่วยพยาบาล แม่บ้าน นักบัญชี และผู้ช่วยที่ทำงาน back office กลับไม่มีตัวตน ทั้งที่ทำงานด้านสุขภาพไม่ต่างกัน คนเหล่านี้ไม่ได้รับการพูดถึง และยังโดนจ้างงานด้วยสัญญาจ้างที่ซับซ้อน
“ความแย่คือซับซ้อนแบบตั้งใจโดยรัฐ เพื่อลดค่าใช้จ่าย เพื่อลดสวัสดิการ มันเป็นไปได้ยังไงที่รัฐ ที่เป็นคนออกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน แต่แรงงานในภาครัฐ กลับถูกจ้างด้วยมาตรฐานที่ต่ำกว่า”
เธอเสริมว่า แรงงานกลุ่มนี้อยู่ในสภาพนี้มา 30 กว่าปี ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง รัฐทำเหมือนกับว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ประชาชน ไม่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองปกป้อง ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้มีอยู่ประมาณ 400,000 คน นอกจากนี้ แรงงานที่ทำงานด้านสุขภาพในภาคเอกชนก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน
เธอยอมรับว่าแพทย์ในภาคเอกชนยังมีอภิสิทธิ์ลอยตัว เช่น ยังมีค่าตอบแทนและชั่วโมงการทำงานที่ค่อนข้างเหมาะสม แตกต่างกับพยาบาลที่ทำงานหนัก และยังไม่มีความมั่นคงทางรายได้ เช่น ถ้าคนไข้น้อย ก็อาจโดนยกเลิกเวรฉับพลัน ส่งผลให้พวกเขาแทบไม่สามารถวางแผนชีวิตในการใช้เวลาตรงนั้น หรือวางแผนเรื่องค่าตอบแทนได้ เช่นเดียวกับผู้ช่วยพยาบาล แม่บ้าน ที่ตอนนี้ก็ตกอยู่กับความไม่มั่นคง
“แต่อย่างน้อยแรงงานในภาคเอกชน ยังได้รับการคุ้มครองจากกระบวนการคุ้มครองแรงงาน คือไม่มีใครได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ”
ค่าจ้าง 5,000–7,850 บาทต่อเดือน สะท้อนว่ารัฐไทยไม่สนใจชีวิตของแรงงาน
โอสถ สุวรรณเศวต ประธานสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย (สลท.) และพนักงานเวรเปลกระทรวงสาธารณสุข ที่ทำงานมาตั้งแต่ปี 2537 พูดแทนเสียงแรงงานเพื่อสุขภาพว่า พนักงานในกระทรวงสาธารณสุขได้รับค่าตอบแทนไม่เกินค่าจ้างขั้นต่ำ แตกต่างกับกระทรวงอื่นๆ อย่างกระทรวงแรงงาน ที่กำหนดไม่ให้รัฐจ้างพนักงานด้วยค่าแรงน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ทำให้เขาเริ่มต่อสู้มาตั้งแต่นั้น โดยเฉพาะในสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
เขาระบุว่า เพราะในตอนนั้นมีมติ ครม.ให้ปรับพวกเราเป็นพนักงานข้าราชการ ตอนนั้นทุกคนที่ทำงานที่กระทรวงต่างดีใจ แต่ปรากฏว่าหลังจากมติ ครม.ประกาศ พนักงานจากกระทรวงสาธารณสุข ที่ถูกจ้างนอกงบประมาณสาธารณสุขจะไม่ได้รับสิทธินี้
“ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็คิดว่า ทั้งที่เราเป็นผู้ให้บริการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ แต่กลับได้รับการดูแลที่ต่ำกว่ามาตรฐาน”
เขากล่าวต่อ ส่งผลให้ในปัจจุบันผมได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 14,570 บาท ในอายุงาน 30 กว่าปี ซึ่งเงินเดือนก็ขึ้นบ้างบางปี ครั้งละร้อยนึง บางปีแปดสิบ รวมทั้งไม่มีสวัสดิการใดๆ มีเพียงเงินหลังเกษียณ ที่จะมอบให้ 3 เดือนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โอสถเสริมว่าเขาในฐานะประธานสหภาพลูกจ้างของรัฐแห่งประเทศไทย เคยมีการเรียกร้องและผู้คุยกับผู้บริหารระดับสูง แต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
“ผมทำงานเป็นเวรเปล ผมอยู่ด่านหน้า เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ดังนั้นควรที่จะปรับเพิ่มค่าจ้างให้มีความเป็นธรรมมากกว่านี้"
เขาเสริมว่า ภาครัฐมีการออกนโยบายไม่ให้เอกชนเอาเปรียบแรงงาน แต่ทำไมภาครัฐกลับกดขี่และเอาเปรียบลูกจ้างเสียเอง ทางผู้บริหารเวลามาคุยก็บอกว่า ถือว่าทุกคนได้ร่วมกันทำบุญ ร่วมกันสร้างกุศล อยู่ในครอบครัวเดียวกัน สำหรับผมเหมือนพูดให้พวกเราสบายใจว่า พวกเราเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่พอด้านผลประโยชน์พวกเรากลับได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาเอาไป 95 เปอร์เซ็นต์
“ทำให้ตลอดที่ผ่านมาเงินมันไม่พอใช้ ตอนนี้ลูกจ้างภาครัฐส่วนใหญ่ต่างชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ เพราะว่ารายได้มันไม่พอ มันต้องหมุน”
ส่วนหมอชุตินาถ พูดถึงค่าตอบแทนของแรงงานภาครัฐว่า การที่แรงงานถูกจ้างด้วยเงินเดือน 5,000-7,850 บาท สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่รัฐมีต่อพวกเขา รัฐกำลังให้พวกเขาทำงาน ที่มีคุณค่าขนาดไหนกันในจำนวนเงินเท่านี้
“ก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยว่าจะมีใครที่จะได้รับเงินเดือน 5,000 บาท เพราะไม่มีคนใกล้ตัวเราเลยที่มีค่าแรงเท่านี้ คนเหล่านี้เขาอยู่กันยังไง”
เธอเสริมต่อว่า พวกเขาถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ เพราะงานที่พวกเขาทำมันมีความหมายมาก และเป็นงานที่สังคมยังต้องพึ่งพิง โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุ แต่ชีวิตแรงงานเหล่านี้ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคง
“คนที่ได้รับค่าจ้าง 5,000 บาท ส่วนมากเกิดจากสัญญาจ้างงานที่ไม่มั่นคง คือจ้าง 6 เดือน 8 เดือน แล้วก็มีโอกาสที่จะตกงานได้ทุกเมื่อ สวัสดิการอะไรก็ไม่มี การลาออกก็ลำบาก ลาออกก็ไม่ได้เงิน อนาคตเราจะหาคนมาทำงานส่วนนี้มากขึ้นได้อย่างไร รัฐก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนทำงานสายสุขภาพกำลังขาดแคลน”
“ต้องเสียสละ” ประโยคที่ทำให้เสียงของคนทำงานด้านสุขภาพถูกละเลย
หมอชุตินาถ ชี้ว่า แรงงานภาครัฐที่ทำงานด้านสุขภาพ หรือไม่ใช่ด้านสุขภาพก็ตาม อาทิ ครู ก็โดนพร่ำบอกด้วยคำพูดที่คล้ายกันว่า “ต้องเสียสละ ต้องอดทน” เพราะด้วยวิชาชีพหรือการทำงานในภาคส่วนที่ถูกจัดว่าเป็นผู้ให้
“ทำให้เวลาเรียกร้อง ก็จะมีคำพูดประมาณนี้ตามมาเต็มไปหมด ทุกคนมองว่าคุณต้องแลกมากกว่านี้ แลกถึงขั้นที่ต้องเอาสุขภาพของตัวเอง ทรัพยากรของตัวเองไปลงทุนกับงาน”
ทั้งนี้ เธอยังพูดถึง ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานภาครัฐ ที่ถูกเห็นชอบเพียงร่างหลักคือ คุ้มครองเฉพาะจ้างเหมาบริการภาครัฐเท่านั้นว่า รัฐบาลให้เหตุผลในการปัดตกว่า รัฐไม่ควรเข้าไปขัดขวางตลาดการจ้างงาน ซึ่งสำหรับเธอแล้วถือเป็นความคิดเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่เก่า ที่ว่ารัฐไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ทั้งที่รัฐเป็นผู้ดูแลกติกาของภาคเอกชนได้
เธอพูดต่อ อย่างที่สองรัฐบาลกล่าวว่า มันเป็นภาระงบประมาณ ซึ่งเราคิดว่าคำตอบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้คุณค่าชีวิตของคนที่รัฐจ้างว่าอยู่ในระดับที่น้อยมาก ส่วนเหตุผลที่สามเขาพูดทำนองว่า รัฐกับเอกชนแตกต่างกัน แต่คำถามที่ตามมาคือ คนไม่ต้องกินต้องใช้เหรอ
“ทำไมกฎหมายบางอย่างถึงถูกยกเว้นกับคนบางกลุ่ม มันเป็น double standard ของการใช้กฎหมายในการเลือกปฏิบัติแบบหนึ่งโดยรัฐต่อคนที่เขาจ้างเองนับล้านคน”
แพทย์อายุรกรรม ขยายความเพิ่มว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ได้สะท้อนแค่แรงงานที่ทำงานเพื่อสุขภาพ แต่ยังสะท้อนถึงแรงงานทุกสาขาอาชีพด้วย อย่างเพื่อนคนหนึ่งของเธอ ที่ประกอบอาชีพบาริสต้าที่เชียงใหม่ ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ได้รับเงินเดือน 9,000 บาท ส่วนแฟนของเพื่อนประกอบอาชีพครู ได้รับเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท
สหภาพแรงงานที่เข้มแข็งเป็นหนึ่งเดียว จะช่วยเพิ่มอำนาจในการเรียกร้องสิทธิ
พญ.ชุตินาถ ชินอุดมพร
หมอชุตินาถ กล่าวว่า เวลาพูดถึงคำว่า ‘สหภาพ’ ในสังคมไทย หลายคนจะรู้สึกหวั่นกลัว อาจเพราะแนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งสหภาพ มันมีความยึดโยงกับความเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ในปัจจุบันคนยุคใหม่รับรู้ถึงความเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย เชื่อในความเป็นมนุษย์ เชื่อในพลังของคนที่ไม่ยึดโยงด้วยตัวเลขหรือค่าเงิน
“สหภาพถือเป็นตัวแทนของประชาชน โดยที่เราไม่ต้องฝากอำนาจหรือว่าเสียงของเราไว้กับนักการเมือง มันเป็นไปได้ไหมที่จะรวมตัวกันเป็นสหภาพให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะมีอำนาจในการต่อรอง”
เธอระบุว่า เพราะด้วยความรู้สึกของตัวเองมองว่า ทุกวันนี้สหภาพยังมีความอ่อนแอมาก อย่างการที่เธอและเพื่อจัดตั้งสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงานขึ้นมา เธอยอมรับว่ามันมีจุดอ่อน เพราะว่าแพทย์ทำงานกระจายกันทั่วประเทศ ส่งผลให้การสร้างความเข้มแข็งนั้นกระทำได้ยาก เนื่องจากต้องมีการพูดคุยกันตลอด
“เราไม่มีสหภาพที่ประสบความสำเร็จในประเทศให้เห็น มีองค์กรต่างๆ ที่ยึดโยงกับอำนาจข้างบน แต่ว่าไม่มีองค์กรที่ยึดโยงกับคนข้างล่าง ดังนั้นแล้วสหภาพควรจะยึดโยงคนทุกกลุ่ม แม่บ้านทำงานได้วันละ 330 บาท เบี้ยขยัน 20 บาท ถ้าเขานัดหยุดงาน เขาเสียไป 300 บาท ต้องอดข้าว ลูกเขาอาจไม่ได้ข้าวกิน แต่แพทย์หยุดงาน 1 วัน แพทย์ก็ยังมีเงินพอใช้”
เธอเสริมประเด็นข้างต้นว่า เราจะต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้ามคำว่าอาชีพ ข้ามคำว่าสถานะต่างๆ ในสังคมไป ต้องทำให้ทุกคนในสังคมดีขึ้นไปพร้อมกัน ไม่ใช่แค่ตัวเราเอง ประเทศไทยในทุกวันนี้แยกอาชีพกันมากเกินไป
ในประเทศที่มีสหภาพเข้มแข็ง อย่างประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เขามีประชากรเป็นสมาชิกสหภาพประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ คนในสหภาพรู้จักกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน พวกเขาก็รู้จักกันหมด ดังนั้นเวลามีปัญหาอะไร การมีตัวแทนสหภาพจะสามารถพูดคุยกับนายจ้างได้โดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบในด้านดีต่อการพัฒนา การเพิ่มผลิตผล productivity ที่ดีขึ้น
“สหภาพที่เข้มแข็งจะช่วยให้เราสามารถบอกได้เลยว่า ปัญหาที่มันขัดขวางไม่ให้เราทำงานได้ดีกว่านี้คืออะไร คุณภาพชีวิตที่เราต้องการคืออะไร”
หมอชุตินาถ สมาชิกจากสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติ พูดสรุปว่าสหภาพไม่ได้มีขึ้นเพื่อมาสู้กับนายจ้างอย่างเดียว แต่มีเพื่อพัฒนาให้งานดีขึ้น พัฒนาให้บริการดีขึ้น อย่างสหภาพบุคลากรทางการแพทย์ที่เกาหลี ที่เรียกร้องสิทธิให้คนไข้ เรียกร้องเปลี่ยนนโยบายแล้วทำให้บริการดีขึ้น ผู้คนเข้าถึงได้มากขึ้น เราสามารถเป็นแบบนี้ได้เช่นกัน เราสามารถทำให้คุณภาพชีวิตของคนในสังคมดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตาม การรวมตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิแรงงานในประเทศไทย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาตามมาตรา 117 ที่มีใจความว่าการนัดหยุดงานเป็นอันตรายต่อมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ นายจ้างมักไม่อยากให้เกิดการรวมตัวของลูกจ้าง ด้วยปัจจัยเหล่านี้มันเป็นการทำลายการรวมตัวกันของคนทุกกลุ่ม
“ใครทนทำงานไม่ไหวก็ออกไป พวกเขามองเราเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เป็นเหมือนน็อตตัวหนึ่ง ที่เขาพร้อมเปลี่ยนตลอดเวลา ฉะนั้นแล้วเราจะทำยังไงให้สังคมเรา ไม่มีแนวคิดที่ว่าใครเก่งใครรอด เพราะในความเป็นจริงมันไม่มีคนแบบนั้น ไม่ได้ใครเก่งด้วยตัวเอง เราเก่งด้วยทรัพยากรของรัฐ เราเก่งด้วยความช่วยเหลือของคนอื่น นับจากนี้จะทำยังไงให้ทุกคนมองว่าเราต้องรอดไปพร้อมกัน ไม่ใช่รอดเพียงตัวเองเท่านั้น”
หมอชุตินาถ พูดปิดท้ายถึงความรู้สึกในการเรียกร้องเพื่อสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานทำงานเพื่อสุขภาพว่า มันเป็นความโกรธ เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นความรู้สึกสงสัย เป็นความรู้สึกน่าจะมีคำถามเต็มหมดแต่ไม่เคยมีคำตอบ
“ตอนนี้รัฐกำลังทำให้แรงงานภาครัฐทั้งประเทศ เป็นแรงงานที่ไม่มีตัวตน”
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editor: Thanyawat Ippoodom