โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คุยกับเด็กอย่างไร ในความขัดแย้ง สำรวจวิธีสื่อสารกับเด็กเพื่อสร้างความเข้าใจ เมื่อต้องรับรู้ข่าวสารความขัดแย้ง กับ รศ.นพ.สุริยเดว

The MATTER

อัพเดต 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Social

'เด็ก’ ควรจะเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ไหม และอย่างไรบ้าง?

เมื่อมีสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงเกิดขึ้น จนมีข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต ที่ทั้งข่าวและแนวคิดต่างๆ ถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความกังวลถึงความเท่าทันข้อมูลข่าวสารที่อาจนำมาซึ่งผลกระทบทางลบต่อไปได้

โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘เด็ก’ ที่ไม่ว่าจะหลีกเลี่ยงเพียงใด ก็อาจได้รับรู้ข่าวสารจากทั้งการได้รับฟังเสียงโทรทัศน์หรือการพูดคุยกันในบ้าน การแลกเปลี่ยนของครูและเพื่อนที่โรงเรียน ไปจนถึงการเล่นโซเชียลมีเดีย ที่มีทั้งข้อเท็จจริง กับข่าวปลอม รวมถึงข้อคิดเห็น ความเชื่อ อุดมการณ์ จากคนหลากหลายความคิด

เช่นนี้แล้ว การพูดคุยกับเด็กในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ป้องกันผลกระทบทางจิตใจ และสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กเข้าใจในความขัดแย้ง?

The MATTER ชวนไปสำรวจมุมมองและวิธีการรับมือการสื่อสารกับเด็ก กับ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเด็กและวัยรุ่น และผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ว่าควรปลูกฝังเด็กอย่างไร และผู้ใหญ่เองควรสื่อสารอย่างสันติอย่างไรบ้าง

*เนื้อหาในบทความเรียบเรียงจากคำตอบในการสัมภาษณ์ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568

เรื่องความขัดแย้ง ควรปกปิด หรือหยิบยกมาพูดคุย

เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดคุยอะไรเลย เพราะอย่างไรก็จะต้องได้รับรู้ข่าวสารจากสื่อ และโลกทุกวันนี้มีความขัดแย้งทั้งนั้น สิ่งสำคัญจึงเป็นการเรียนรู้บนความขัดแย้ง แต่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องไหนเป็นข้อเท็จจริง เรื่องไหนเป็นข่าวปลอม จึงจะได้รู้เท่าทันและไม่เชื่อข้อมูลอะไรง่ายๆ กลายเป็นภูมิคุ้มกันที่จะติดตัวต่อไป และกลายเป็นเกราะกําบังของเขาได้

โดยวิธีการสร้างความเข้าใจอาจขึ้นอยู่กับอายุ การพูดคุยกับเด็กเล็ก หรือเด็กโต จะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน หากเป็นเด็กเล็กเนี่ย ที่เป็นวัยแห่งจินตนาการ อาจวิธีการในการเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้เห็นความขัดแย้งในชีวิตประจำวันก่อน เช่น เมื่อพี่กับน้องทะเลาะกัน หรือเมื่อทะเลาะกับเพื่อน จะมีมีวิธีการป้องกัน และจัดการได้อย่างไร ที่ไม่ให้เกิดความรุนแรง

สำหรับเด็กโต ไปจนถึงวัยรุ่น ก็อาจจะเรียนรู้กับการจัดการความขัดแย้งในเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงได้โดยมีความเป็นเหตุเป็นผลมากยิ่งขึ้น และชวนทำความเข้าใจว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อย่างไร ทัศนคติต่อความขัดแย้งมีอะไรบ้าง ที่นำไปสู่เหตุการณ์ของความขัดแย้งในสังคมที่เรากําลังเผชิญ

ผลกระทบทางจิตใจที่อาจเกิดในเด็ก

เด็กที่อยู่ในที่เกิดเหตุ จะมีผลกระทบทางด้านร่างกายจิตใจ สังคม อารมณ์สูงมาก การอยู่ในเหตุการณ์ การได้ยินเสียงระเบิด เสียงปืน อาจทำให้เขามีความรู้สึกช็อกกับเหตุการณ์ต่างๆ จนกลายเป็นโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-traumatic stress disorder - PTSD) ได้ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต อย่างการโจมตีครั้งล่าสุดที่มีรายงานว่ามีเด็กอายุ 8 ปีเสียชีวิต ซึ่งผิดหลักการสากล

และสำหรับเด็กที่ไม่อยู่ในพื้นที่ แต่ก็กําลังบริโภคสื่อ ได้รับรู้จากการเห็นข้อความในโลกออนไลน์ หรืออาจได้ยินพ่อแม่คุยกัน ผลกระทบแรก ก็คือผลกระทบทางด้านจิตใจและความเปราะบาง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากสําหรับเด็กทั่วไป

เขาอาจจะต้องเกิดการเรียนรู้ว่า จากข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น จะมีวิธีการอย่างไรในการจัดการได้บ้าง คุณพ่อคุณแม่ก็อาจใช้กระบวนการพูดคุยกันกับลูกเพื่อให้เขาเรียนรู้การจัดการอารมณ์ รวมถึงการจัดการทางด้านจิตใจ

โดยเฉพาะเด็กที่มีความเปราะบางทางอารมณ์ อ่อนไหวง่าย มักเกิดภาวะเครียดอยู่ประจำ รวมถึงกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้า คุณพ่อคุณแม่ยิ่งควรจะต้องสังเกตดูจากพฤติกรรมในประจําวันนี่แหละ พฤติกรรมประจำวันว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปจากปกติหรือไม่ โดยหมอจะแบ่งเป็นสัญญาณสีเขียว สีเหลือง และสีแดง

สัญญาณเขียว คือปลอดภัยและปกติ สัญญาเหลือง คือเริ่มมีอาการทางร่างกายปรากฏ เช่น ไม่กิน ไม่นอน กระสับกระส่าย ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดหัว อาการเหล่านี้อาจสะท้อนว่ามีภาวะเครียดสะสม

แต่หากไปถึงขั้นเริ่มมีอาการบ่น อาการเพ้อถึงควาสมเป็นไปของโลก เช่น “ทําไมความรุนแรงมันเกิดขึ้นทุกหนระแหงเลย” และอยากแยกตัวอยู่คนเดียว ก็อาจเป็นสัญญาณสีแดง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนจะต้องได้รับการช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่หรือสมาชิกในบ้าน

วิธีการผ่อนอารมณ์ที่หนักให้กลายเป็นเบา สำคัญคือการ ‘รับฟัง’ ว่าเด็กมีความไม่พอใจหรือไม่ไม่สบายใจอะไรบ้าง และขั้นต่อไปคือการ ‘สัมผัส’ ให้ถึงใจ ทำให้เกิดความรู้สึกว่ายังมีคนข้างๆ เพื่อให้เขามีความรู้สึกว่าสังคมนี้ยังมีความปลอดภัยอยู่ และลดความหวั่นไหว

และขั้นที่ยิ่งไปกว่านั้น คือการรับฟังและ ‘เหลาความคิด’ ไปด้วยกัน โดยพูดคุยว่าเราควรจะมีวิธีการจัดการในชีวิตประจำตัวของเราเองอย่างไรบ้าง

พูดคุยอย่างสันติ เปิดพื้นที่ให้ความเห็นต่างอย่างปลอดภัย

ใช้หลัก ‘สุนทรียสนทนา’ พูดคุยกันในบ้าน หรือเป็นการสนทนาด้วยสันติวิธี โดยมี 5 หลักการด้วยกัน คือ

ให้ทั้ง 2 ฝ่ายที่กําลังสนทนาต้องอยู่ในพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ให้กําหนดกติการ่วมกัน ให้ควบคุมบรรยากาศ หากบทสนทนาดำเนินไปด้วยอารมณ์ให้หยุดพัก หรืออาจตกลงกันว่าค่อยคุยกันในวันอื่น ให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน ให้ไม่ตัดสิน

โดยคุณพ่อคุณแม่ อาจใช้โอกาสนี้ในการทำความเข้าใจกับลูกว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องยาก แต่ลูกลองสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ เพราะในชีวิตเราก็มีความขัดแย้งกับเพื่อน กับรุ่นพี่ รุ่นน้อง กับเพื่อนร่วมงาน

และหากเราอยากจะเรียนรู้และไม่ให้เกิดความขัดแย้งและอาจกลายเป็นอุปนิสัยในตัวเรา ให้ลองใช้หลัก ‘สุนทรียสนทนา หรือ 5 ให้’ และพิจารณาว่ามีความขัดแย้งกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน ระบบไม่ดีและมีปัญหา หรือเป็นเพราะบุคคล

ไม่เพียงเท่านั้น การรับรู้ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ต้องมีวิธีการในการ ‘พักก่อนโพสต์’ โดยเฉพาะเมื่อกำลังมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์แล้วอยากแสดงความคิดเห็น อาจพิมพ์ไว้ก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปค่อยกลับมาพิจารณาและแก้ไข เป็นเหมือนการดึงสติตัวเองให้ทบทวนว่าเป็นเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อนหรืออาจทำให้ใครเสียหายหรือไม่

ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

สามารถเรียนรู้ได้ในหลายเรื่อง เช่น ประวัติศาสตร์ ที่มาของความขัดแย้ง การคัดกรองข่าวปลอมและกลลวงที่หลอกให้เชื่อ ทัศนคติที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งการจะหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ส่วนหนึ่งก็มาจากว่า แล้วเราเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ที่จะต้องทำให้ไม่เกิดความขัดแย้ง และไม่ไปรุกรานใครจนเกิดผลกระทบกับประชาชน

ดังนั้น การพูดพูดคุยบนสันติวิธีนี้ย่อมจะดีกว่า และหลีกเลี่ยงการปะทะกัน การสาดโคลน การล่อลวงด้วยข่าวปลอม หากมีการถอดบทเรียอย่างเหมาะสม ก็จะทำให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารกันอย่างสันติได้

รวมถึงสิ่งที่อยากฝากกับทุกคน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน คือในการบริโภคสื่อนั้น จะต้องรู้จัการหาจังหวะหยุดหรือพัก เพื่อป้องกันไม่ให้การรับข่าวสารนั้นนํามาสู่ความเครียดสะสมจนกระทบกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคนที่อาจมีอารมณ์อ่อนไหว ที่อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้

editor: Thanyawat Ippoodom

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

เงินเดือน 7,850 บาท ไร้สวัสดิการ ไร้ตัวตน: ว่าด้วยปัญหาแรงงานชายขอบ ในระบบสาธารณสุขที่แทบไม่มีใครเห็น

23 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เมื่อ ‘เพื่อนบ้าน’ ย้ายหนีกันไม่ได้ สำรวจแนวทางจากประเทศต่างๆ ที่เคยพิพาทกันเรื่องเขตแดน

1 วันที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

เอาไงดี สาวขับผ่านเจอลูกหมาจรจัดนอนตัวเดียว ปล่อยทิ้งไว้หรือเอากลับบ้าน?

BRIGHTTV.CO.TH

DEตั้งวอร์รูม 24 ชั่วโมง รับมือภัยไซเบอร์ หลังพบแฮกเกอร์โจมตีเว็บไซต์รัฐ

The Better

“กอบศักดิ์” ห่วงวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา สะเทือนเชื่อมั่นนักลงทุน-ท่องเที่ยวไฮซีซัน

สำนักข่าวไทย Online

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจเป็นบททดสอบอิทธิพลสหรัฐฯ-จีน

SpringNews

การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถ ช่วงสถานีอรัญฯ-บ้านคลองลึก ตั้งแต่ 26 ก.ค. 68

คมชัดลึกออนไลน์

ดราม่า! เชฟระดับท็อปหลุดปากบอกอินฟลูเอนเซอร์ “ไม่เห็นจะดัง” จนสาวน้ำตาร่วง

Khaosod

สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา 26 ก.ค. 68 ปะทะต่อเนื่อง อพยพทะลุ 8.8 หมื่น

TNN ช่อง16

จักรภพ เผยสุดปวดใจ!! บางคนทำงานไปร้องไห้ไป

TOJO NEWS

ข่าวและบทความยอดนิยม

คอนเทนต์เรียกยอด คอมเมนต์ปั่นประสาท รับมือย่างไรเมื่อสารพัดข้อมูลทำเราตื่นตระหนก

The MATTER

เงินเดือน 7,850 บาท ไร้สวัสดิการ ไร้ตัวตน ว่าด้วยปัญหาแรงงานชายขอบ ในระบบสาธารณสุขที่แทบไม่มีใครเห็น

The MATTER

สำรวจทางออก และทางเลือก เมื่ออคติ ‘เหมารวม’ คนกัมพูชาในไทย อาจทำให้วิกฤตไทย-กัมพูชา รุนแรงขึ้น

The MATTER
ดูเพิ่ม
Loading...